พระนิพพาน ๑



พระนิพพาน

การเข้าสู่พระนิพพานสมัยนี้ ดูจะไม่ใช่เรื่องยากทำไมใครๆก็เข้านิพพานกันได้

                หากจะนับไปแล้ว การพูดถึงพระอรหันต์ เรื่องพระนิพพาน เริ่มมีมาในสมัยหลวงปู่มั่น ต่อมามีการแพร่หลายมากยิ่งๆขึ้นก็ด้วยบารมีของหลวงพ่อพระราชพรหมญาณ วัดท่าซุง ณ จุดนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการกล่าวถึง สมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าพระองค์แรกที่อุบัติขึ้น ในอดีต
                หลายสิบปีก่อน การพูดถึงพระอรหันต์ พระนิพพาน เป็นเรื่องใหญ่ ลึกลับ ต้องห้าม มาในปัจจุบันนี้มีการใช้คำเหล่านี้จนกลายเป็นเรื่องปกติทั่วไป เรียกเจ้าหน้าที่รัฐ องค์กรอิสระ ว่าเป็นอรหันต์ เรียกความสุขในการได้กินไอติม ขนม หรืออาหาร ว่านิพพาน เรียกพ่อแม่ว่าเป็นพระอรหันต์ของลูก
                ปัจจุบันเรามักจะได้ยินบ่อยๆว่า คนนั้นเข้าพระนิพพานไปแล้ว คนนี้ก็เข้าพระนิพพานไปแล้ว ตอนมีชีวิตอยู่คนเหล่านี้ได้ถวายสังฆทานชุดใหญ่ เป็นประจำ คนนั้นได้ไปกราบไหว้ครูบาอาจารย์ได้สร้างพระองค์ใหญ่ ตายไปก็เข้าสู่พระนิพพาน เป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งโดยมากก็เป็นฆราวาส แล้วก็มีผู้ได้ฌานมารับรองว่าเข้าสู่พระนิพพานไปแล้ว คนก็โมทนาสาธุกัน พอมาถามผม ผมก็ตอบไม่ได้ ไม่สามารถแสดงความเห็นได้ ด้วยยุคสมัยนี้ การมีความเห็นที่แตกต่างกันนั้น กลายเป็นเรื่องขัดแย้งรุนแรงขึ้นมาได้ง่ายๆ
                บางคนอ้างเรื่องของเก่าทำมาเยอะ ชาตินี้ลาพุทธภูมิ บารมีเกินแล้ว ก็เข้าพระนิพพานได้เลย อันนี้ผมก็เคยได้ยินได้ฟังมามากด้วยกัน ประเด็นต่างๆเหล่านี้ ทำให้หลายๆคนเกิดความสงสัยว่า พระนิพพานเขาไปกันง่ายๆแค่นี้เองหรือ ไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัยใดๆ นอกจากทำบุญ ให้ทาน สร้างพระพุทธรูป ถวายสังฆทาน แบบนี้ก็ได้เหรอ?
                เรื่องของเก่าทำมาเยอะ ชาตินี้ได้เจอครูบาอาจารย์ ได้ทำบุญร่วมกันกับท่าน มีจิตยินดีในบุญกุศลที่ได้สร้างศาสนสถานจนเป็นเหตุให้เข้าพระนิพพานได้ เรื่องนี้ขอเอาตัวอย่างตัวผมเองเป็นข้อสงสัย ในสมัยก่อน ตอนที่ผมยังฝึกมโนมยิทธิได้ไม่ได้นาน เวลามีงานสำคัญที่วัด จะมีศิษย์ยุคแรกๆของหลวงพ่อฤษี มาร่วมงานด้วย มาแบบนั่งห่างๆ อยู่เงียบๆ ไม่ค่อยแสดงตัว แต่ก็ทักทายกันในหมู่ศิษย์ยุคก่อนปี 2518 ลูกศิษย์รุ่นนั้นหลายคนเก่งมาก บางคนก็เคยอธิษฐานของเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาพร้อมๆกับหลวงพ่อฤษี มี 2 คนที่ผมได้รู้จักโดยการแนะนำของรุ่นพี่ 2ท่านนี้เหลืออีก 7 ชาติก็จะขึ้นไปรอที่สวรรค์ชั้นดุสิต คนพวกนี้มีลักษณะบางอย่างที่เหมือนๆกันก็คือ มีใจเคารพรักในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ เป็นที่สุด กริยาท่าทาง คำพูดคำจา อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้อง หรือต้องเอ่ยถึง องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า หรือหลวงพ่อ ท่านเหล่านี้จะพูดด้วยความเคารพนอบน้อม ยกมือพนมขึ้นทุกๆครั้ง และมีปกติคือการทรงฌานอยู่แทบตลอดเวลา แล้วเวลาต้องการจะรู้จะเห็นอะไรในทางธรรม ท่านเหล่านี้จะไม่เคยยอมใช้กำลังฌานของตัวเองเลย เพียงแต่ทรงฌานเอาไว้แล้วกราบขอบารมีองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้คำตอบมาเพียงใดก็รู้เพียงเท่านั้น บอกเล่าเอาเพียงเท่านั้น ไม่พูดไม่เล่าเกินกว่านั้น ถ้าจะมีก็จะบอกก่อนว่านี่เป็นความเห็นส่วนตัว แล้วก็พูดความเห็นนั้นออกมา
                ท่านเหล่านั้นก็ได้ขอบารมีองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ถามเรื่องเกี่ยวกับผม แล้วก็มาเล่าให้ฟังว่า ตัวผมเคยปรารถนาสาวกภูมิมาก่อน บำเพ็ญบารมีเรื่อยมา ต่อมาเมื่อยุคพระพุทธเจ้าองค์ที่2ของกัลป์นี้ ได้เห็นความทุกข์ยากของคนและสัตว์ทั้งหลาย จึงอธิษฐานขอให้ได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิฌาน เพื่อนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้พ้นทุกข์ บำเพ็ญบารมีมา 1 อสงไขย กับอีกแสนกัลป์ เวลานี้เป็นมหากัลป์ที่ 2 ตลอด 2 แสนชาติที่เกิดมาล่าสุดนี้แต่ละชาติก็มีการปฏิบัติธรรมเจริญภาวนามาอย่างเข้มข้นโดยตลอด มีสมเด็จองค์ปฐมคอยคุมเรื่องกรรมฐานอยู่ พี่ท่านนั้นเล่ามาแบบนี้ ก็เป็นอันว่าฟังหูไว้หู แต่ที่จะเล่าถึงประเด็นข้อสงสัยก็คือว่า การปฏิบัติธรรมในชาติที่ผ่านๆมา หรือที่คนส่วนมากเรียกว่ามีของเก่าติดมานั้น ผมเชื่อของผมเองว่า คนที่เคยปฏิบัติธรรมมาหลายชาติ นับแสนชาติ มันจะมีนิสัยสันดานหรือวาสนาเก่าติดตัวมาก่อน เกิดมาในชาติไหนๆก็จะมีใจรักในการปฏิบัติธรรม เจริญภาวนา เป็นไปตามสันดานเดิม ตัวผมเอง เริ่มเพ่งกสิณแสงสว่างตอนอายุ 4 ขวบ พอเริ่มจำความได้ ก็เพ่งกสิณแสงสว่างโดยไม่มีความรู้อะไรใดๆ อายุย่าง 7 ขวบก็เพ่งกสิณไฟ โดยไม่ได้มีความรู้เรื่องกสิณ ไม่รู้จักแม้แต่พระพุทธเจ้าว่าเป็นใคร ตอนเด็กผมจับลมที่มากระทบผิวกายได้ เพ่งมองท้องฟ้า ก้อนเมฆ เวลาลมสงบ ผมอยากให้มีลมพัดมา ผมก็จะสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วอธิษฐานว่า ขอลมจงมา แล้วก็เป่าลมออกจากปากไป สักพักก็มีลมพัดผ่านไปมา ตอนเด็กๆมายืนหน้าบ้าน ก็ทำแบบนี้เล่นอยู่บ่อยๆ แปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมเราเรียกลมแล้วลมก็พัดมาให้จริงๆด้วย
                การที่จะบอกว่าตัวเรามีของเก่าเคยบำเพ็ญบารมีมามากนั้น ผมเชื่อว่าคนผู้นั้นจะต้องมีอุปนิสัยหรือวาสนา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สันดาน ติดตัวมา ทำให้เกิดมาแล้วก็มาทำเรื่องที่ตนเองสนใจ พากเพียร ชำนิชำนาญแต่เดิม แต่ผมกลับไปเคยเห็นคนที่อ้างเรื่องว่ามีของเก่าติดตัวมาเยอะ จะมาบำเพ็ญเพียรภาวนาแต่อย่างใด มีการทำบุญให้ทาน แล้วก็บอกว่าชาตินี้จะได้เข้าพระนิพพานแล้ว ผมเองพิจารณาแล้วก็เห็นวาแปลกประหลาดดี ถ้าการทำบุญให้ทาน การสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆ แล้วเข้าพระนิพพานได้ ทำไมในครั้งพุทธกาล องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ตรัสสอน ทรงสอนเรื่องทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ หนทางดับทุกข์ และการสิ้นไปแห่งทุกข์ ทรงตรัสสอนมหาสติปัฏฐาน วิปัสสนาญาณ ไม่ได้ทรงตรัสสอนเรื่องการทำบุญทำทาน สร้างพระพุทธรูปแล้วจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้แต่อย่างใด
                การจะเข้าสู่พระนิพพานได้ ต้องสำเร็จอรหัตผล คือเป็นพระอรหันต์เท่านั้น จะเป็นพระอรหันต์ได้ ต้องละสังโยชน์ทั้ง 10 ประการได้ จะละสังโยชน์ทั้ง 10 ประการได้ ต้องเจริญภาวนา ไม่ได้ด้วยการให้ทาน แต่ว่าการให้ทาน รักษาศีล เป็นบาทฐาน ที่จะช่วยส่งเสริมการปฏิบัติธรรมเจริญภาวนา คือผู้ที่หวังในมรรคผลนิพพาน ต้องมีการให้ทาน รักษาศีล ด้วย แต่ว่าจะเข้าถึงพระนิพพานได้ หนีไม่พ้น ต้องภาวนา คำว่าภาวนาคือ การเจริญกรรมฐาน ทั้งสมถะ และวิปัสสนากรรมฐาน การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ก็ต้องอาศัยการเจริญสติเป็นสำคัญ จะอาศัยเพียงการให้ทาน การรักษาศีลแล้วจะเข้าสู่พระนิพพานนั้น เหมือนจะเป็นไปไม่ได้ และในครั้งพุทธกาลก็ไม่เคยมีใครที่เข้าสู่พระนิพพานโดยไม่มีการเจริญภาวนา ไม่ได้ดวงตาเห็นธรรม ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ไม่เคยมี


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิปัสสนานั่งหลับตา ตอนที่ 1

มหาสติปัฏฐาน๔ฉบับหลงธรรมตอนที่๒