กรรม ตอนที่ 4

กรรม ตอนที่ 4

                กรรมที่เกิดจากการกระทำที่ส่งผลต่อบุคคลอื่น เกิดขึ้นจากผัสสะภายนอกก่อน ว่าตาเห็นรูป หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายรับสัมผัส ได้รับความกระทบกระเทือนมาถึงสมองเกิดสัญญาความจำภายนอก ส่งต่อมายังสัญญาภายในคือที่จิตใจ เกิดการปรุงแต่ง เป็นอารมณ์ รัก ชัง ดี ร้าย พอใจ ไม่พอใจ ส่งไปส่งกลับแบบนี้ 7 รอบ สติตามรู้ตามดูไม่ทันหรอก มันเร็วกว่าแสง เร็วกว่าความคิด

                อารมณ์ที่เกิดที่จิตใจ สมมติว่าเป็นอารมณ์โกรธ อาฆาต ก็จะส่งไปที่สัญญาภายนอกคือความจำที่สมองแล้วคิดฟุ้งปรุงแต่งหาทางทำร้าย บุคคลผู้นั้น คิดวางแผน หาคนร่วมมือ หาเครื่องมือมาประกอบ รอจังหวะเวลา ลงมือกระทำ ให้เป็นไปตามเจตนาที่ตั้งไว้ ในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่เกิดอารมณ์ร้ายขึ้นที่จิต ไปจนกระทั่งลงมือกระทำจนเป็นผลสำเร็จ บุคคลผู้นั้นได้ถูกทำร้ายทำลายลง มีการส่งข้อมูลระหว่าง สัญญาภายนอก ไปบันทึกไว้เป็นสัญญาภายใน โดยผ่านสังขาร ความคิดนึกปรุงแต่ง และอุปทานความยึดมั่นถือมั่น นับร้อยๆพันๆเที่ยว จึงเกิดเป็นสภาวะกรรมบันทึกเอาไว้ที่สัญญาภายใน ซึ่งในปุถุชนทั้งหลาย สัญญา สังขาร อุปทานเหล่านี้ หลอมรวมกันอยู่ภายในจิตนี่เอง
กรรมที่ทำลงไปกับบุคคลอื่นนี้ จะรอส่งผลอย่างไร มีองค์ประกอบอย่างไรบ้าง เป็นเรื่องซับซ้อนได้อย่างไร มีดังนี้คือ

1.             เมื่อเจ้าของดวงจิตได้ละสังขารไปแล้ว ความจำจากสมองหรือสัญญาภายนอกนี้ สลายหายไปด้วย แต่ว่าสัญญาภายในคือความทรงจำที่จิตยังคงอยู่ ยังให้ผลอยู่

2.             เจ้าของดวงจิตจะกลับมารับโทษของกรรมที่ตนเองก่อเอาไว้แม้สัญญาภายนอกสลายหายไปแล้ว แต่สัญญาภายในยังอยู่ ซึ่งยังต้องเชื่อมโยงไปถึงว่า บุคคลที่เคยถูกทำร้ายนั้น มาเกิดพร้อมกัน มาพบเจอกัน ได้มีปฏิสัมพันธ์รู้จักหน้าเห็นตัวกัน

3.             บุคคลแวดล้อมที่ได้เคยร่วมยินดี ร่วมมือกับเจ้าของดวงจิตก็ต้องมาเกิดด้วย มารับกรรมร่วมกันที่ได้ร่วมยินดีเอาไว้ หรือร่วมมือกับเจ้าของดวงจิตลงมือทำร้าย ต้องมีเวลาที่สอดคล้องเหมาะเจาะกัน

4.             ต้องได้เจอกันในสถานที่หรือสถานการณ์อันจะเกิดเหตุด้วย มีปัจจัยแวดล้อมองค์ประกอบให้ต้องเกิดเหตุครบถ้วนด้วย

5.             ยังเกี่ยวพันไปถึงความดีที่เจ้าของดวงจิตเคยได้ทำมา มีบุคคลแวดล้อมจะมาช่วยเหลือแบ่งเบาภาระกรรมชั่วที่ตัวเคยทำลงไปด้วยหรือไม่ ในเวลานั้นๆ ณ สถานที่แห่งนั้น

6.             ยังต้องย้อนไปดูถึงบุคคลซึ่งถูกทำร้ายนี้ ในอดีตได้เคยทำร้ายกันมาก่อน สืบต่อเนื่องกันมาด้วยหรือไม่

นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่บางคนเรียกว่า กรรมมาบรรจบพบกัน คือถึงพร้อมด้วยตัวบุคคล ถึงพร้อมด้วยเวลา ถึงพร้อมด้วยสถานที่ ถึงพร้อมด้วยสถานการณ์ กรรมนั้นๆจึงจะส่งผล เนื่องเพราะเกี่ยวโยงกับตัวบุคคลอื่นๆด้วย เกี่ยวพันอันเนื่องจากเหตุของกรรมเก่าที่เคยผูกพันกันมาก่อนหน้านี้ด้วย เรื่องกรรมนี้จึงดูโยงใยกันเหมือนกลุ่มด้ายที่พันกันจนยุ่งเหยิงไปหมด เหตุการณ์ต่างๆมาทับซ้อนกันมากมายเต็มไปหมด มีตัวบุคคล สัตว์ สภาวะ สถาณการณ์ต่างๆ มาเกี่ยวโยงซับซ้อนเต็มไปหมด แต่ความจริงแล้ว มันไม่ได้ซับซ้อนอย่างไม่มีระบบ ที่จริงแล้วเป็นความซับซ้อนอย่างมีเงื่อนไขและมีระเบียบ

                ผู้ที่จะมองเห็น แจกแจง แยกแยะ ความซับซ้อนเหล่านี้ได้ มีเพียงสัพพัญญูเท่านั้น ที่มองเห็นความเป็นไปทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ความเกี่ยวโยงกันของแต่ละตัวบุคคล ทั้งตัวบุคคลนั้นๆเอง และคนอื่นๆที่แวดล้อมตัวบุคคลนั้นอยู่ด้วย แบบแผนที่ดูซับซ้อนนี้ เหมือนจะถูกกำหนดเอาไว้แต่ต้นแล้ว ผู้ที่กำหนดแบบแผนนี้ก็คือตัวแบบแผนเองที่เรียกว่า กรรม หรือว่า กฎแห่งกรรม เราทุกคน ในทุกวันนี้ แม้ขณะนี้ที่ท่านกำลังอ่านอยู่ ก็ถูกกรรมกำหนดแล้วว่า ต้องได้มาเปิดอ่านเจอข้อความนี้ บางท่านอาจจะเห็นด้วยกับสิ่งที่เขียน บางท่านจะงงๆ บางท่านจะไม่ค่อยเห็นด้วย ปนความสงสัย บางท่านจะรู้สึกแน่นๆตื้อๆอยู่ที่หัวอก นั่นก็เป็นกรรมกำหนดให้ท่านต้องได้เกิดความรู้ ความรู้สึก ต่างๆหลังจากอ่านไปแล้วนั่นเอง

                กรรมนี้กำหนดไว้แล้วว่า เจ้าชายสิทธัตถะ จะออกผนวช จะต้องทรมานพระวรกาย 6 ปี แล้วจะสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ เวลาใด สถานที่ใด มีบุคคลใดมาแวดล้อม แล้วจะดำเนินการเผยแพร่พุทธศาสนาไปกี่ปี แต่ละวันจะต้องพบเจอกับใคร พระเทวฑัตต้องมาเกิดร่วมกัน ต้องมาทำร้ายให้ห้อพระโลหิต หรือต้องจบสิ้นพระชนม์เมื่ออายุเท่าไร เสวยอะไรเข้าไป สถานที่สวรรคตอยู่ตรงไหน ระหว่างต้นรังคู่ กรรมก็ได้กำหนดไว้ก่อนแล้ว ด้วยผลของกรรมที่ทำในอดีตตามลำดับมา กรรมจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อกรรมและกรรมนั้นก็เป็นตัวกำหนดกรรมให้เป็นไป จึงไม่มีใครหนีพ้น จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน


                ดังนั้นแล้ว คำว่า “ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม” ก็เกิดจากการเห็นวัฏจักรของกรรม ที่ทับซ้อนเกาะเกี่ยวกันมาในลักษณะนี้นั่นเอง หากจะกล่าวไปแล้ว หลายท่านอาจจะเสียขวัญเสียกำลังใจว่า ทุกๆวันนี้ สิ่งที่เราต้องเจอ สิ่งที่เราต้องพูด สิ่งที่เรากำลังคิดว่าฝืนกรรม ล้างกรรม หลอกกรรม หนีกรรม ฯลฯ นั้นก็ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้กรรมที่กำหนดให้ต้องทำไปทั้งสิ้น แม้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อยังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น ก็ไม่อาจหนีกฎของกรรมนี้ได้ แม้พระโมคคัลลานะ จะมีฤทธิ์มากเพียงใดก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงกฎของกรรมได้เช่นกัน เมื่อพิจาณาโดยรอบ จากสัญญาภายในที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวพันกับกรรมทั้งหลายเอาไว้ จึงได้เห็นว่า “สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม” ดังนั้นวลีนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ไม่ใช่พูดขึ้นเพราะคิดเห็นขึ้นลอยๆ หรือคิดโดยใช้สมองมาคำนวณคาดคะเน แต่เป็นการเห็นเข้าไปถึงสัญญาภายในจิต ซึ่งต้องแยกจิตกับสัญญา สังขาร และอุปทานออกจากกันได้แล้ว พิจารณาเพียงสัญญาภายใน โดยเอาจิตออกห่าง มีสติพร้อมสมบูรณ์แล้ว พิจารณาเห็นเป็นลำดับเข้าไป ก็จะมองเห็นและเข้าใจกฎแห่งกรรม และลำดับความเป็นไปของกรรมอันเกี่ยวเนื่องกันมา ตลอดจน อนาคตว่าจะบุคคลนั้นๆจะต้องเกิดอะไรขึ้น จะต้องได้พบเจอกับอะไร เมื่อไร และต้องได้รับผลกระทบอะไร ก็ล้วนแล้วแต่ถูกกำหนดโดยกรรมไว้แล้วทั้งสิ้น แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ถัดๆไปนั้น ก็ถูกกรรมกำหนดไว้แล้วเช่นกันว่า เมื่อใด จะได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ จะได้พบกับอะไร และจะมีอายุขัยเท่าไร เสด็จดับขันธุ์เมื่อไร ที่ไหน ณ เวลานั้นจะมีพรหม เทวดา องค์ไหนมาร่วมอยู่ แล้วแสดงบทบาทอะไร อย่างไรบ้าง ต่างก็ล้วนถูกกำหนดไว้หมดแล้วทั้งสิ้น นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า “ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม” และ”สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” หาใช่จะเกิดวลีทั้งสองนี้ได้ง่ายๆเลย 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิปัสสนานั่งหลับตา ตอนที่ 1

มหาสติปัฏฐาน๔ฉบับหลงธรรมตอนที่๒

พระนิพพาน ๑