ว่างหรือคิดว่าว่าง


ว่าง หรือ คิดว่าว่าง


               สมัยนี้มีการเผยแพร่คำสอนต่างๆทางสื่อทั้งหลายมากมาย ถ้าเป็นคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาเป็นเวลานาน คำสอนทั้งหลายท่านจะไม่หนีไปจากพระไตรปิฎกเลย ซึ่งก็มีไม่น้อยที่พยายามจะสอนให้ตนเองดูเหนือกว่าครูบาอาจารย์รุ่นก่อนๆ หรือแม้กระทั่งจะเหนือไปกว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว เรื่องแบบนี้ท่านทั้งหลายก็ขออย่าได้แปลกใจ เพราะมีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว เช่นพระเทวฑัต เป็นต้น ซึ่งท่านทั้งหลายต่างทราบกันเป็นอย่างดี

               ตัวอย่างคำสอนในเรื่องความว่าง ได้แก่ การไม่นึกไม่คิด ไม่ต้องสนใจอะไรใดๆทั้งสิ้น ไม่ต้องไปเอาคำบริกรรมภาวนา ไม่ต้องไปจับลมหายใจ ทิ้งทุกอย่างทั้งหมด แค่นี้ก็ว่างแล้ว จะต้องไปทำอะไรอีก ไอ้การที่จะต้องทำแบบนั้น มีรูปแบบแบบนี้ นั่นแหละยึด แล้วก็ไปไหนไม่ได้ ทิ้งมันให้หมด ไม่เอาอะไรทั้งนั้น มันก็ว่างแล้ว ไม่มีอะไรทั้งนั้น ง่ายๆแค่นี้ก็ถึงนิพพานแล้ว ไม่ต้องมาพิจารณาอะไรทั้งนั้น ไอ้การนึกคิดพิจารณาทั้งหลายนี่ก็อุปาทานกันขึ้นมาเอง ว่างจริงๆพิจารณาก็ไม่ต้องมี จะไปพิจารณามันทำไมในเมื่อมันว่างแล้ว พอพิจารณานี่สิมันได้ถึงไม่ว่าง ก็เพราะมัวแต่จะไปพิจารณา

               ท่านทั้งหลายคงเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวทำนองนี้มาบ้าง ผมเองศึกษาฝึกฝนมากว่า 45 ปี เคยได้ยินได้ฟังเรื่องทำนองนี้มามาก มีหลายรูปแบบแตกต่างกัน ทั้งโยมบ้างพระบ้างมาพูดกันในทำนองนี้ อาศัยว่าผมเป็นคนมีครูบาอาจารย์ แล้วผมก็เคารพเกรงกลัวครูบาอาจารย์ กลัวว่าทำผิดแล้วโดนด่าโดนลงโทษ ให้เจ็บให้อาย กลัวใครจะหาว่าเหยียบหัวครูบาอาจารย์ ข้ามหัวครูบาอาจารย์ แต่เดิมผมคิดว่าเป็นความโง่ของผมเองที่กลัวมากขนาดนั้น ต่อมาจึงได้พบว่าแท้จริงแล้วผมนี่โง่จริงๆด้วย แต่ก็เพราะความโง่นี้เองที่ทำให้รอดปากเหยี่ยวปากกามาได้ ทั้งนี้เพราะว่าความกลัวครูบาอาจารย์ทำให้ผมไม่กล้าที่จะประพฤติปฏิบัติตนให้นอกรีดนอกรอยจากคำสอนของครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์องค์แรกของผมที่ผมกราบไหว้คือพระพุทธรูป เป็นพระพุทธรูปที่แม่ได้มาจากการที่คนทรงแป๊ะกง พากันไปขุดเอามาจากถ้ำที่จ.เชียงราย สมัยผมยังเด็กๆอยู่ แต่ว่าความสำคัญไม่ได้อยู่ตรงที่ร่างทรงไปเอาพระเก๊มาหลอกให้แม่บูชา แต่ว่านี้คือองค์แทนองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ทรงตรัสรู้มาเมื่อกว่า 2600 ปีก่อน ทรงมีวัตรปฏิบัติที่งดงาม มีพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ธรรมที่ทรงตรัสรู้ชอบแล้ว ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ตรงนี้ต่างหากที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่จะมาจ้องจับผิดกันว่านี่พระพุทธรูปเก๊ นี่เป็นแต่หินแต่ดินแต่โลหะ กราบพระพุทธรูปแต่ละครั้ง กราบให้ถึงคุณของพระพุทธเจ้า แล้วท่านทั้งหลายจะเข้าใจเองว่า ทำไมครูบาอาจารย์จึงยังคงสร้างพระพุทธรูปเอาไว้ให้เป็นที่ระลึกถึง

               ว่ากันถึงเรื่องความว่าง กับความคิดไปเองว่าว่าง ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจเอาไว้อย่างหนึ่งก่อนนะครับว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เกิดขึ้นด้วยปัญญา และดำเนินไปด้วยปัญญา บรรลุก็ด้วยปัญญา ปัญญาที่ว่านี้เป็นความฉลาดของจิตจากการได้เห็นสภาวะธรรมตามความเป็นจริง ไม่ใช่ปัญญาทางโลกที่ใช้สมองครุ่นคิด วิเคราะห์ ปัญญาเหมือนกัน แต่ว่าไม่เหมือนกัน เพราะปัญญาที่เกิดจากจิต เป็นไปเพื่อลด ละ เบื่อหน่าย คลายกำหนัด เพื่อออกจากกาม ปัญญาทางโลก เป็นไปเพื่อยึด เพื่ออยาก อยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น ปัญญาทางธรรมอาศัยการรู้แจ้งเห็นจริง
               ทางเดินของครูบาอาจารย์ ท่านเริ่มด้วย ศีล ตามมาด้วยสมาธิ จนกระทั่งเกิดปัญญาทางธรรม ในระหว่างการฝึกสมาธิ ก็มีการเจริญสติและการพิจารณาในกาย ในจิต ไปด้วยนับครั้งไม่ถ้วน จนกว่าจะเกิดเป็นปัญญาวิมุติ คือปัญญาที่เกิดขึ้นจากการเห็นจิตในจิต ตามความเป็นจริง จนสิ้นสงสัยแล้ว ความยึดมั่นถือมั่นก็สลายหายไปตอนนั้นเอง เวลานั้นจะเรียกว่าว่างก็ได้จะเรียกว่าไม่ว่างก็ได้ ที่เรียกว่าว่าง ก็เพราะไม่มีสิ่งใดให้ยึดเหนี่ยว ยึดถืออีกต่อไป จะเรียกว่าไม่ว่างก็ได้ เพราะอารมณ์ต่างๆยังคงมีอยู่ ร่างกายก็ยังมีอยู่ ความรู้สึกเย็นร้อนอ่อนแข็งทั้งหลายก็ยังมีอยู่ ไม่ใช่ไม่มี ไม่ใช่ไม่รู้สึกรับรู้ เพียงแต่ว่าจิตนี้แจ้งแล้วว่าสิ่งที่มีอยู่ทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในสิ่งนี้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีในเรา คือจิตของเราฉลาดแล้ว รู้แจ้งแล้ว ต่างจากความว่างที่คิดเอาเองว่าว่าง คิดเอาเองว่าไม่ยึดแล้ว คิดเอาเองว่านี่แหละหนทางดับทุกข์แล้ว ไม่ต้องไปฝึกอะไรมากมาย อันนี้ว่างเพราะคิดนึกเอาเองโดยมันสมอง แล้วก็เที่ยวไปประกาศว่านี้เองคือหนทางลัด นี้เองคือสุดยอดของธรรม เอากันง่ายๆแบบนี้มันใช่แล้วหรือ
               ถ้าความว่างจะการยึดมั่นถือมั่นมันทำกันง่ายๆแบบนั้น ครูบาอาจารย์ผมทำไมท่านต้องฝึกกันเอาเป็นเอาตาย เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ฝึกกันหลายสิบปี กว่าจะบรรลุธรรมกันไปตามลำดับ แล้วอย่างเราๆนี่จู่ๆก็ทิ้งทุกอย่าง แล้วบอกว่า ฉันเข้าถึงสถาวะว่างแล้ว นิพพานอยู่เบื้องหน้าแล้ว มันก็จะเก่งเกินครูบาอาจารย์ หรือว่าจะเก่งเกินองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงตรัสถึง มหาสติปัฎฐาน๔ มรรค๘ วิปัสสนาญาณ๙ มีธรรมอีก ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แต่ถ้าจะว่างแบบเต๋าอันนั้นก็แล้วไปนะครับ เพราะนั่นเป็นปรัชญา คือเกิดจากความคิด แต่พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นที่จิต ดับลงที่จิต แล้วไม่เกิดกำเริบขึ้นอีก พระพุทธศาสนาจึงกำหนดแนวทางการปฏิบัติไปตามลำดับ ไม่ข้ามไปข้ามมา ไม่มีทางลัด หรือช่องทางซิกแซก มีความชัดเจน ดังนั้นจึงขอให้ท่านทั้งหลาย อดทน อดกลั้น เพียรภาวนาต่อไป ตามที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอนไว้ ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสุปัตติปันโน ท่านได้ทำให้ดูแล้วเป็นแบบอย่าง เมื่อถึงที่สุดแล้ว ย่อมได้พบกับรสพระธรรม อย่างไม่ต้องสงสัยเลย แม้ชาตินี้ไม่สำเร็จ ชาติหน้าก็ฝึกกันต่อ ไม่หนีจากแนวทางจากพระพุทธศาสนาไปได้เลย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิปัสสนานั่งหลับตา ตอนที่ 1

มหาสติปัฏฐาน๔ฉบับหลงธรรมตอนที่๒

พระนิพพาน ๑