อภิหลงธรรม
อภิหลงธรรม
ข้อห้ามที่ผมเห็นว่าร้ายแรง
ที่นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายไม่ควรกระทำ เป็นกับดักระหว่างการพิจารณาธรรม
ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน รวมทั้งตัวผมเองด้วย ผมเห็นว่านี่คืออภิมหาหลงธรรม
ครูบาอาจารย์ท่านจะสอนให้พิจารณาร่างกายว่าสกปรก
เป็นของน่ารังเกียจ เพื่อให้ลดความเย่อหยิ่ง ทะยานอยาก จองหอง อวดดื้อถือดี อวดโก้
อวดเก่ง มีอาการ๓๒บ้าง อาหาเรปฏิกูลสัญญา อสุภกรรมฐาน ธาตุ๔
ให้พิจารณาจบลงตรงไตรลักษณ์เป็นที่สุด มีเป้าประสงค์เพื่อคลายความยึดมั่นถือมั่น
เพื่อเตรียมจิตให้พร้อมต่อการเข้าถึงสภาวะธรรมที่ละเอียดยิ่งๆขึ้นไป
อภิมหาหลงธรรม เกิดขึ้นตอนนี้เองคือ
พิจารณาไปว่าร่างกายนี้มันก็เป็นแต่ร่างกายนี้ คำว่าสกปรกหรือคำว่าสะอาดก็เป็นแต่เพียงคำสมมติเรียกกันขึ้นมา
แท้จริงแล้วร่างกายนี้ไม่ได้สกปรกหรอก มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง
มันก็ไม่ได้สะอาดหรอก มันก็เป็นของมันอย่างนั้นเอง การไปเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของสกปรกน่ารังเกียจก็เป็นการยึดในอารมณ์ร้าย
การไปยึดว่าร่างกายเป็นของดีน่าทะนุถนอม ก็เป็นการยึดในอารมณ์ดี ซึ่งก็ล้วนแล้วเป็นการยึดติดในร่างกายทั้งสิ้น
อาหารก็เป็นอาหาร ไม่ได้สะอาดหรือสกปรกอะไร ผ่านการกลืนกิน การย่อยออกมาเป็นอุจจาระ
ปัสสาวะ ก็เป็นไปโดยธรรมชาติของมันเอง เรานี่เองที่ไปสมมติเอาว่าอุจจาระเป็นของสกปรก
ปัสสาวะเป็นของสกปรก แล้วก็พากันรังเกียจ
จิตที่มีความรู้สึกรังเกียจอยู่จึงเป็นจิตที่ยังใช้การไม่ได้ ในเมื่อสรรพสิ่งล้วนเป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง
เราเองต่างหากที่เอาจิตเข้าไปวุ่นวายในรูป ในนาม ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิด
มาบำเพ็ญบารมีบ้าง มาฝึกกรรมฐานบ้าง ไม่รู้จักจบจักสิ้น
แม้ทุกวันนี้ก็ยังฝึกไปด้วยความยึดติด ทั้งที่จิตก็คือจิตไม่ได้มีอะไร สักว่ามันเป็นของมันอย่างนั้นเอง
เราเองที่เอากรรมฐานเข้าไปฝึกที่จิต เอาการพิจารณากายว่าสกปรกนำเข้าไปสู่จิต
แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จิตเราถึงจะบริสุทธิ์ได้ แท้จริงแล้วจิตของเราทุกคนนั้น
เป็นประภัสสร ดีอยู่แล้ว ควรหรือที่เราจะเอาสิ่งต่างๆเข้าไปสู่จิต
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราเพียงแต่ละทิ้งความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง
ไม่เอาอะไรกับมันทั้งนั้นทั้งสิ้นแล้ว เราก็จะเข้าถึงจิตเดิมแท้
นี่แหละหนทางที่จะไปถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จิตที่ปราศจากการพิจารณา
จิตที่ว่างจากทุกสรรพสิ่ง ไม่ต้องเอาปัญญา ไม่ต้องเอาธรรมที่ไหนมายัดเยียดใส่เข้าไปในจิต
จิตก็หลุดพ้นได้แล้ว นิพพานจะเป็นเช่นไร ก็เป็นเช่นนี้แบบนี้เอง ไม่เอาอะไรแล้ว ไม่มีตัวกูของกู ไม่มีรูปแบบ
ไม่มีการปฏิบัติใดๆที่ต้องทำแล้ว เราอยู่กับความว่าง ดำเนินวิถีชีวิตไปตามปกติ
ด้วยจิตใจที่ว่างเปล่า ไม่ยึดเหนี่ยวเกาะเกี่ยวอะไรใดๆทั้งนั้น
กรรมฐานใดๆไม่ต้องไปเอามาสร้างภาระวุ่นวายต่อกายต่อจิตอีกต่อไป
ก็เป็นอันว่าจบสิ้นแล้วในชาตินี้
ครับ จบเลยครับ คือความฉิบหายในการพิจารณาธรรม
เป็นการฉิบหายแห่งความดีที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ
แนะนำอบรมให้แก่พุทธบริษัททั้งหลาย ก็เป็นอันว่าจบสิ้นแล้วในชาตินี้คือฉิบหายหมดกัน
ผมพิจารณาความแบบนี้ครับ ครูบาอาจารย์แต่ครั้งก่อนนั้น
ก็ฝึกฝนอบรมกายอบรมจิตเป็นไปตามลำดับลำดา(ลำดาแปลว่าอะไรก็ไม่ทราบนะครับ
อาจจะเป็นเพียงคำสร้อยก็เป็นได้) ท่านไม่ได้ข้ามลัดขั้นตอน มีความวิริยะอุตสาหะ
ทรงโพชฌงค์ทั้ง๗ประการจนครบ ดำเนินไปตามมรรค๘ พิจารณาในอริยสัจ๔ มีศีลเป็นเครื่องรักษากาย
วาจา ใจ ซึ่งก็เป็นไปตามพระพุทธพจน์บทพระบาลี
ที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอนเอาไว้ ด้วยคำสอนที่มีมากมายถึง ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์
กาลเวลาล่วงมา ๒๖๐๐ ปีเศษ คำสอนที่ยังคงอยู่เป็นหลักฐานก็คือผลของการปฏิบัติ คือปฏิเวช
ที่ครูบาอาจารย์ท่านแลกมาด้วยเวลาทั้งชีวิตในการขัดเกลากิเลส
ทำความเพียรมาด้วยความยากลำบาก ไม่เห็นมีเรื่องมักง่าย หรือได้รู้ได้เห็นธรรมง่ายๆเลย
ผมเองยังเป็นผู้หลงในธรรม ยังเป็นปุถุชนคนกิเลสหนาตัณหามาก อาศัยที่มีชีวิตพบเห็นแต่เรื่องของความทุกข์มามากมายตั้งแต่เด็ก
จึงแสวงหาหนทางพ้นทุกข์ ผมไม่ได้มีความดี ความเก่ง ความฉลาดใดๆที่มากกว่าคนอื่น
มีข้อด้อยมากมาย ดังนั้นสิ่งที่ผมทำความเพียรทั้งหลาย แม้จะผิดมากถูกน้อย
ก็ยังขอเลือกเดินตามทาง หรือปฏิปทาที่ครูบาอาจารย์ท่านฝึกฝนมา เพราะนี่คือหลักฐานที่ปรากฏชัดให้สัมผัสได้
ทั้งกริยา วาจา วัตรปฏิบัติ ธรรมที่ถ่ายทอดออกมาจากคำสอน ซึ่งก็ไม่ได้ต่างไปจากพระบาลีในพระไตรปิฎก
ผมจึงตัดสินใจเลือกเดินตามหลังครูบาอาจารย์ ไม่อวดรู้ อวดเก่ง แซงหน้าท่าน ไม่โชว์เหนือว่าข้าแน่กว่า
ข้าเก่งกว่า วาจาความคิดที่พิจารณามานั้นช่างฉลาดเหลือล้ำเกินกว่าพระไตรปิฎกจะบอกเอาไว้ได้
ข้านี้จะหักเอายอดฉัตรเสียเลยในคราเดียว ผมว่านั่นเป็นเรื่องผิดพลาดร้ายแรง
เป็นอภิมหาหลงธรรม
ท่านทั้งหลายที่อ่านมาจนถึงตรงนี้แล้ว
ก็พิจารณาเลือกเอาเองตามอัธยาศัยว่า จะเลือกฝึกศึกษาตามอย่างครูบาอาจารย์ที่ท่านอิงแอบแนบชิดกับพระไตรปิฎก
ตามพุทธพจน์บทพระบาลี หรือว่าจะเลือกเอาทางหนทางที่หลายคนเชื่อว่าทิ้งหมดทุกอย่างไม่ยึดใดๆแล้วอย่างรวดเร็ว
จะว่าเป็นเซ็น ก็ยังไม่ใช่ จะเป็นอะไรนั้นก็ไม่ทราบได้
จะบรรลุธรรมได้จริงไหมอันนี้ผมก็ไม่ทราบได้ ได้แต่เพียงเตือนท่านทั้งหลายว่า สิ่งใดที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว
ครูบาอาจารย์ท่านได้ทำตามแล้ว ได้ผลแล้ว ควรเป็นหนทางที่เลือกเดิน แม้จะยากกว่า
ช้ากว่า ลำบากกว่า ก็ควรเลือกไว้เพราะพิสูจน์จนแน่นอนดีแล้ว ส่วนหนทางใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ทรงตรัสสอนเอาไว้
ก็ขอแนะนำว่าอย่าไปทำเลย หากจะอยากทดลองทดสอบก็เพียงเพื่อรู้นั้นทำได้
คนเราหลงกันได้ แต่ว่าอย่าหลงให้มันนานนัก ยึดเอาหลักของครูบาอาจารย์รุ่นเก่าๆเอาไว้
หมั่นฝึกฝนตนเองอย่าได้ย่อท้อ สักวันหนึ่งก็จะเป็นพยานให้กับตัวเองได้ว่า
ธรรมที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้นั้น ถูกต้องแล้ว ดีแล้ ประเสริฐหมดจดอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ขอให้ท่านทั้งหลายอย่าได้หลงธรรมเยี่ยงข้าพเจ้า ให้เดินทรงตรงมุ่งสู่หนทางพ้นทุกข์
ส่วนข้าพเจ้าจะคงหลงวนเวียนอีกนานกว่าจะตามท่านทั้งหลายไปได้...สวัสดี...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น