พระโพธิสัตย์กับความปรารถนา
พระโพธิสัตย์กับความปรารถนา
เมื่อครั้งที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเสด็จกลับจากสวรรค์ชั้นดาวดึงษเทวโลก
ทรงบันดาลให้นรก มนุษย์ พรหมเทวดา มองเห็นได้ถึงกันหมด
แม้สัตว์เดรัจฉานก็ได้เห็นได้รู้ ทรงมีพุทธประสงค์เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ว่า
โลกนี้โลกหน้ามีอยู่จริง ทำดีได้ไปสุคติภพมีอยู่จริง ทำบาปต้องตกนรกนั้นมีอยู่จริง
สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมในวัฏฏะสงสารนี้ด้วยกันทั้งสิ้น ทำให้ชนทั้งหลายที่มีปัญญาเกิดสลด
ปลงธรรมสังเวช เห็นทุกข์เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร
คนจำนวนไม่น้อยรวมถึงสัตว์เดรัจฉาน
เทวดา พรหม แม้แต่สัตว์นรก ได้เห็นพุทธะปาฎิหาริย์แล้วเกิดรู้สึกเลื่อมใสศรัทธา
และอยากมีพุทธบารมีเช่นนั้นบ้าง ในเวลานั้นมีจำนวนมาก นับล้านๆชีวิต(ทั้งสัตว์,คน,สัตว์นรก,พรหม,เทวดา
และผู้อยู่ในภพภูมิต่างๆ) ต่างพากันตั้งความปรารถนาจะขอตรัสรู้เพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หากจะนับไปถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ก่อนๆที่มีผู้ปรารถนาแบบเดียวกันนี้
ก็จะมีมากมายมหาศาล แม้ว่าความปรารถนานี้จะไม่อาจสำเร็จได้ ด้วยขอลากันไปก่อนนั้น แต่ก็มีข้อดีที่ทำให้คนและสัตว์จำนวนมากได้มุ่งมั่นที่จะทำแต่ความดี
บำเพ็ญบารมี๑๐ประการ เป็นหมู่แห่งคนดี
แม้ในเวลาที่พระพุทธศาสนาดำรงอยู่
แต่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานไปแล้ว
ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ปรารถนาจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แม้ว่าภายหลังจะมีการเปลี่ยนใจไปไม่น้อยก็ตาม นับเนื่องเรื่องเล่าของผู้มีความปรารถนาจะสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งนิยามเรียกบุคคลเหล่านี้ว่าพระโพธิสัตย์ อันเป็นความนิยมในพุทธมหานิกายนั้น
จะมีเรื่องเล่าในการบำเพ็ญพุทธบารมีทั้ง๓๐ทัศน์
เรื่องราวการเสียสละต่างๆที่เหนือกว่าคนธรรมดาจะตัดใจกระทำได้
รวมไปถึงการเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวาระต่างๆ ได้แก่พระเจ้าจักรพรรดิ กษัตริย์
อภิมหาเศรษฐี ฯลฯ
เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้คนหันมามุ่งมั่นทำความดีโดยหวังว่าจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า
ภายหลังจากที่ข้าพเจ้าได้เห็นสภาวธรรมตามที่ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำสั่งสอนแล้วนั้น
ข้าพเจ้าจึงได้เห็นความปรารถนาดังกล่าว
เพียงแต่ความเห็นในความปรารถนาทั้งหลายนั้นไม่ตรงกับที่ข้าพเจ้าได้รู้มาเช่นที่เล่าเอาไว้ข้างต้นแต่อย่างใดเลย
ความปรารถนาที่ข้าพเจ้าเห็นนั้น ไม่มีความอยากจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ กษัตริย์
อภิมหาเศรษฐี ไม่ได้มีความปรารถนาจะมีอิทธิปาฏิหาริย์
ไม่ได้มีความปรารถนาทรัพย์สมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ
ไม่ได้มีความปรารถนาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ให้คนทั้งโลกมากราบไหว้
ไม่ได้ต้องการเป็นผู้มีชื่อเสียงให้คน เทวดา พรหม
ต้องมาเคารพนอบน้อมกราบไหว้แต่อย่างใด หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า
ไม่มีความปรารถนาในโลกธรรมทั้ง๘ประการ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และไม่ได้แยแสสนใจใน ความเสื่อมลาภ
เสื่อมยศ คำนินทา หรือความทุกข์ แต่อย่างใด
ความปรารถนาเดียวที่มีอยู่คือ ต้องการเห็นสรรพชีวิตทั้งหลายได้พ้นไปจากวัฏฏะสงสารอันพ้นได้ยากนี้
และสิ่งเดียวที่จะช่วยให้สรรพสัตว์ทั้งหลายพ้นทุกข์จากวัฏฏะสงสารนี้ก็มีแต่เพียงธรรมะเท่านั้น
การจะมีธรรมะอันจำแนกแจกแจงให้ตรงกับนิสัยสันดานของคนทั้งหลายได้ ย่อมต้องเป็นผู้มีธรรมอันไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ
กล่าวคือสัมมาสัมโพธิญาณ อันจะได้มาด้วยการฝึกฝนจิตใจในแต่ละภพชาติที่มาเกิด
อันมีการทำความดีต่างๆเป็นเครื่องประกอบ
การฝึกฝนจิตเพื่อบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณนั้นก็ทำไปเพื่อให้สามารถใช้ช่วยเหลือคนทั้งหลาย
ได้เข้าถึงธรรมโดยง่าย เพื่อความพ้นทุกข์ของคนทั้งหลาย
ความเห็นของผู้ปรารถนาจะช่วยเหลือคนและสัตว์ทั้งหลายนั้น มองเห็นคนและสัตว์ทั้งหลายด้วยความเมตตา
กรุณา กล่าวคือเมื่อเห็นคนและสัตว์มีความทุกข์ ก็ปรารถนาจะช่วยให้พ้นทุกข์
แม้เห็นคนและสัตว์ทั้งหลายมีความสุขก็มองเห็นความสุขนั้นไม่ยั่งยืนเป็นความสุขที่เจือไปด้วยทุกข์
ประดุจดังน้ำผึ้งผสมยาพิษ อันหลอกล่อให้คนและสัตว์ต้องลุ่มหลง ตกตายลงไป
พระโพธิสัตย์ไม่ได้มุ่งหวังในการมีลูกมีเมียให้มากๆ
ผู้มุ่งหวังในการพ้นทุกข์และเป็นผู้นำในการพ้นทุกข์จะมาหมกมุ่นในกามราคะได้อย่างไร
ไม่ได้มุ่งหวังการสละลูกเมียให้เป็นทานแล้วจะนับว่านี้เป็นทานอันยิ่งใหญ่เพราะทานแบบนี้เป็นเพียงทานอันเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
แม้การอภัยทานก็ยังมีอานิสงค์มากกว่าการสละลูกเมียอย่างเทียบกันไม่ได้
การปรารถนาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิหรือมีทรัพย์สินมากมายมหาศาล การได้ปกครองโลกใบนี้
จึงไม่ได้เป็นความปรารถนาของพระโพธิสัตย์
เพราะการไปให้พ้นจากวัฏฏะสงสารนี้คือการไม่ติดในลาภ ไม่ติดในยศ
แล้วจะมาทำตนเองให้หมกมุ่นอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข บริวาร อายุ
ต่างๆเหล่านี้ไปได้อย่างไรกัน สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องหลอกล่อของพญามารเพื่อให้สัตว์ทั้งหลายที่โง่เขลา
ติดและจมอยู่ในวัฏฏะสงสารเท่านั้นเอง
การตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น
หาได้เกิดขึ้นในชั่วขณะที่จะอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าไม่ ความรู้แจ้งในธรรมทั้งหลายก็หาได้อุบัติขึ้นในพริบตาไม่
แม้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยในการอุบัติขึ้นเช่นกัน กล่าวคือ
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ได้ตรัสรู้แจ้งด้วยพระองค์เองนั้น
มีปัจจัยมาจากการเจริญสมถ-วิปัสสนา และการฝึกฝนด้านจิตใจต่างๆ
ในภพชาติอันนับไม่ถ้วนเมื่อครั้งยังบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตย์อยู่นั้น จนเมื่อทุกสรรพสิ่งพร้อมบริบูรณ์แล้ว
ในชาติสุดท้าย เมื่อเวลาที่ตรัสรู้
ธรรมทั้งหลายที่เคยบำเพ็ญมาก็มาบรรจบครบถ้วนรวมตัวกันจนสมบูรณ์บริบูรณ์
หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ธรรมที่ได้ตรัสรู้นั้นเกิดจากสภาวะธรรมที่เคยได้ตรัสรู้แต่ละภาคส่วนย่อยๆในแต่ละภพชาติที่ได้เคยปฎิบัติธรรมภาวนามา
หาใช่เกิดขึ้นทั้งหมดในบัดดล โดยไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีเหตุปัจจัยสะสมก่อตัวกันขึ้นมาก่อน
ปัญญาที่เกิดในพระสัจธรรมนี้มีมาก่อนแล้วในสมัยที่ยังบำเพ็ญบารมีอยู่
ดังนั้นจึงจะเห็นว่าแม้จะยังเป็นพระโพธิสัตย์ผู้บำเพ็ญบารมีก็ยังสามารถแนะนำให้คนจำนวนไม่น้อยบรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้
เพียงแต่ตนเองนั้นไม่สามารถจะบรรลุธรรมให้เข้าถึงอรหัตผลได้
หากจะเปรียบไปแล้วผู้ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตย์นั้น
คล้ายๆดั่งไต๊ก๋งเรือ ขับเรือจากฝั่งหนึ่งข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง
เมื่อไปถึงอีกฝั่งหนึ่งแล้วก็ขับเรือกลับมาใหม่
เมื่อเรือเก่าผุพังไปก็เปลี่ยนเรือใหม่ ลำเล็กบ้าง ลำใหญ่บ้าง ได้แล่นไปในฝั่งนี้
ไปจนถึงฝั่งโน้น ระหว่างนั้นอาจมีผู้โดยสารไปด้วยเป็นบางคน
ผู้โดยสารเมื่อไปถึงฝั่งโน้นแล้วก็ถึงเหยียบฝั่ง ไม่ต้องหันหลังกลับมายังฝั่งนี้อีก
เปรียบดังผู้สำเร็จอรหัตผลที่โดยสารเรือคือธรรมปฏิบัติจนถึงฝั่งคือพระนิพพานแล้วไม่ต้องหวนกลับหลังมาอีก
ส่วนไต๊ก๋งเรือยังคงต้องหันหัวเรือกลับ จะอาศัยอยู่ในฝั่งโน้นยังไม่ได้
ด้วยยังไม่ถึงพร้อมด้วยเวลาและปัจจัยตามที่ตนปรารถนาเอาไว้ว่า
จะนำพาคนหมู่มากผ่านไปยังฝั่งโน้นให้ได้มากที่สุด ผู้ปรารถนาพระโพธิสัตย์จึงต้องเป็นผู้รู้ผู้ชำนาญในเส้นทางเดินเรือที่ช่ำชองดี
เพราะต้องแล่นเรือไปให้ถึงฝั่งโน้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยเรือทุกๆประเภท
เพื่อนำเอาเรื่องราวประสบการณ์ทั้งหลายมาสอนคนหมู่มากให้รู้ถึงวิธีแล่นเรือแต่ละแบบ
ด้วยกุศโลบายอันแยบคาย ให้ไปถึงฝั่งโน้นได้ ไม่ล่มลงกลางห้วงมหาสมุทร(คือตัณหามหานทีทั้งสาม)
ผู้ปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณ
มุ่งหวังจะนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากวัฏฏะสงสารนั้น
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง ปฏิบัติสมถกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐาน
รวมไปถึงกรรมฐานต่างๆ ให้ยิ่งยวด ทำให้มาก ทำให้ชำนิชำนาญ ทำจนเป็นวสี
โดยไม่ได้มุ่งหวังสิ่งใดนอกเสียจากการพาหมู่คณะให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงให้ได้
ความทุกข์ของพระโพธิสัตย์จึงมีอยู่เพียงอย่างเดียวคือ ความสงสารในสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่
ความทุกข์อื่นๆของชาวโลกในลาภสักการะยศถาบรรดาศักดิ์ทั้งหลายนั้นไม่มีในใจของพระโพธิสัตย์แต่อย่างใด
ดังนั้นท่านทั้งหลายที่ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตย์นั้นก็ขอให้เร่งรัดการเจริญภาวนาอย่าได้ว่างเว้น
หยุดหย่อน ย่อท้อ ให้มุ่งมั่นในการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ให้มากๆ
ทานทั้งหลายก็ต้องทำให้มากเช่นกัน เพื่อเป็นปัจจัยในการประคับประคองภพชาติที่ยังต้องเวียนตายเวียนเกิดระหว่างการบำเพ็ญบารมี
ต่อเมื่อถึงที่สุดในวาระสุดท้ายของชาติสุดท้ายนั้น เมื่อจะดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว
ทานทั้งหลายก็ดี บารมีทั้ง๓๐ทัศน์ ที่ทำเอาไว้ก็ไม่ได้นำเข้าไปยังเขตแดนพระนิพพานด้วย
เนื่องเพราะในพระนิพพานนั้น สรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น
ไม่มีอะไรที่จะจำเป็นหรือต้องมีในพระนิพพานอีกเลย แต่ว่าตราบเท่าที่ยังไม่เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
ทาน ศีล ภาวนา ยังต้องทำให้ยิ่ง ทำให้มาก ไม่ควรจะละทิ้ง ละวาง
เพียงแต่ก็อย่าไปยึดให้มันมั่น อย่าไปถือให้มันมั่นจนเกินไปนักจะกลายเป็นการบำเพ็ญบารมีด้วยความอยาก
ด้วยความทุกข์
สุดท้ายนี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลายที่ผ่านเข้ามาอ่านนั้นขอได้โปรดอย่าคิดว่าข้าพเจ้าเป็นพระโพธิสัตย์
หรือเป็นผู้บรรลุธรรมใดๆ ขอให้คิดว่าข้าพเจ้าเป็นเพียงนักปฏิบัติธรรมผู้หนึ่ง
ที่ยังหาหนทางพ้นทุกข์ไม่พบ ยังต้องเวียนตายเวียนเกิดอีกมาก
บทความที่เล่ามานี้ก็ขอให้ท่านอ่านแล้วพิจารณาด้วยปัญญาของท่านทั้งหลายเอง
ไม่ต้องเชื่อหรือไม่เชื่อ ไม่จำเป็นต้องไปใช้เป็นสิ่งอ้างอิงใดๆ ขอให้ถือเป็นเรื่องเล่าจากความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าคนเดียวเท่านั้น
การปรามาส ลบหลู่ใดๆในตัวข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าไม่ถือโทษ ดังนั้นจึงไม่ต้องขออโหสิกรรมต่อข้าพเจ้าและ
ข้าพเจ้าก็ไม่ต้องให้อภัยด้วยเพราะข้าพเจ้าไม่ได้ถือโทษ ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลายจึงไม่มีโทษต่อกัน
สวัสดี...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น