พระนิพพาน 2

 

พระนิพพาน 2


                ละสักกายทิฐิ ตัวเดียวไปนิพพานได้ไหม ผมถูกตั้งคำถามนี้โดยคนใกล้ตัว ที่ไปอ่านมาว่า ป้าคนนึงนอนเป็นอัมพาตแล้วลูกหลานเปิดเทปหลวงพ่อให้ฟัง พอตายไปก็มาเข้าฝันบอกลูกหลานว่า เข้าพระนิพพานแล้ว คำสอนของหลวงพ่อฤษีถูกต้องหมดทุกอย่าง เรื่องการละสักกายทิฐิเพียงอย่างเดียวเข้าถึงพระนิพพานได้ ผมยืนยันว่าหลวงพ่อพูดจริงและในปีสุดท้ายของหลวงพ่อท่านก็สอนย้ำเรื่องนี้วันละหลายๆรอบ ท่านอธิบายโดยละเอียด เป็นลำดับขั้นตอน ซ้ำไปซ้ำมา การสอนของหลวงพ่อนั้น ทุกคนฟังเหมือนกัน ฟังพร้อมๆกัน แต่มีความเข้าใจในเนื้อหา หรือการจับประเด็นที่หลวงพ่อเทศน์สอน ไม่เหมือนกัน  ป้าที่มาเข้าฝันก็ไม่อธิบายด้วยว่า ท่านละสักกายทิฐิได้อย่างไร ตั้งแต่อารมณ์พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี จนถึงอารมณ์พระอรหัตผล

                ปัญหาจึงเกิดขึ้นว่า มีคนจำนวนไม่น้อย คิด ต้องย้ำคำว่า คิด(ด้วยสมอง) เอาว่า เราไม่สนใจในร่างกายนี้แล้ว เราไม่อยากเกิดอีกแล้ว เรานึกถึงพระนิพพานเอาไว้ ตายไปเราก็จะไปพระนิพพานเหมือนอย่างที่หลวงพ่อฤษีท่านบอกเอาไว้ ทีนี้พอใครไปเถียงเข้านี่ จะโดนหาว่าเถียงคำสอนหลวงพ่อรึ แกจะตกอเวจีมหานรก คนจะอธิบายก็เลยต้องเงียบ คนที่ไม่รู้มารับฟังว่า คนส่วนมากพูดแบบนี้ก็จำๆต่อๆกันไป จนในที่สุดกลายเป็นว่า หลวงพ่อสอนให้ละสักกายทิฐิคือไม่ยึดเอาร่างกายนี้ว่าเป็นเราเป็นของเรา แล้วเอาจิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ตายไปก็ได้ไปพระนิพพานกันหมด

อืมมมมม....คิดไหมครับว่า ถ้าพระนิพพานไปง่ายขนาดนั้น เจ้าชายสิทธัตถะ จะออกบำเพ็ญเพียร ทรมานร่างกาย ทั้งที่ได้สมาบัติ๘แล้วนี่นะ จะทรงตรัสสอน มหาสติปัฎฐานสูตรไปทำไม สอนวิปัสสนาญาณ๙ ไปทำไม ทรงสอนถึงเรื่องทุกข์ถึง 84000 พระธรรมขันธ์ไปเพื่ออะไร ทรงลำดับอริยสัจทั้ง๔ ประการ ทรงตรัสถึงมรรคมีองค์๘ จรณะ๑๕ โพชฌงค์๗ และอีกมากมาย ทำไมองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงไม่ทรงตรัสสอนให้สร้างรูปปั้นขนาดใหญ่ให้มากๆ ถวายสังฆทานเยอะ แล้วจะได้ไปพระนิพพาน คิดว่าร่างกายไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ไม่มีตัวกูของกู ทุกอย่างว่างหมด ไม่เอาอะไรทั้งนั้น เอานิพพานอย่างเดียว แล้วพุทธบริษัทฯก็จะได้เข้าสู่พระนิพพานไปทุกคน

หลวงปู่มั่นใช้เวลาทำความเพียรอยู่ 22 ปี หลวงพ่อพระราชพรหมญาณ วัดท่าซุง ลาพุทธภูมิปี 2506 ใช้เวลาบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ประมาณ 3 ปี พระสงฆ์รูปอื่นๆที่ท่านพ้นโลกนี้ไปแล้ว ล้วนแล้วแต่เจริญกรรมฐานอย่างหนัก ภาวนาอย่างหนัก ในศีล 227 แต่ว่าพวกที่รักษาศีล๕ ได้บ้างไม่ได้บ้าง มาบอกว่า ไปทัวร์บุญกัน ทำบุญไหว้พระหลายๆวัด สร้างพระองค์ใหญ่ๆ ไปกราบไหว้ขอพร สร้างถาวรวัตถุ แล้วตายไปจะได้เข้าพระนิพพาน นี่คนรอบๆตัวผมเป็นแบบนี้กันเป็นจำนวนมากด้วยกัน

การนั่งสมาธิ เดินจงกรม เจริญสติ การภาวนา ที่ผมฝึกมาตั้งแต่ 4-5 ขวบ ฝึกกับหลวงพ่อฤษี หลวงพ่อพิทักษ์ และครูบาอาจารย์ต่างๆนั้น จนได้รู้ได้เห็นสภาวธรรมตามที่ครูบาอาจารย์ได้เคยกล่าวถึงนั้น ทุกวันนี้กลายเป็นว่าผมมันโง่ มันบ้า สภาวธรรมบ้าบออะไร เพ้อเจ้อ ไร้สาระ การนั่งสมาธิ การเดินจงกรม เป็นการติดยึดในรูปแบบ ทำแบบนั้นมันไม่มีทางบรรลุธรรมอะไรได้หรอก การเจริญสติเพื่อให้ถึงความว่างจากการยึดมั่นถือมัน ตอนนี้พวกเขาจับอารมณ์ว่างทุกอย่างได้ตลอดเวลาแล้ว ไม่ต้องฝึกอะไรอย่างที่ผมเคยฝึกมาหรอก ผมจึงกลายเป็นไอ้บ้า ไอ้โง่ ไอ้ติดยึดกับการปฏิบัติ โดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเราไม่ต้องทำอะไรเลย มันว่างอยู่ของมันแล้ว

ทุกวันนี้ผมจึงได้แต่หุบปากเงียบเอาไว้และไม่ขอเล่าเรื่องการเจริญภาวนาใดๆ การฝึกสมาธิต่างๆ ไม่ขอให้ใครมารับรู้เรื่องการฝึกกรรมฐานใดๆของผม
ผมยังเป็นผู้ติดยึดอยู่นะครับ ก็ขอเรียนตามตรงว่า หลายๆเรื่องผมยังยึดติดอยู่ เช่น พระรัตนตรัย ผมยึดมั่นถือมั่นอยู่ครับ ผมยังปล่อยวาง ทิ้งพระรัตนตรัยไม่ได้
สมาธิผมก็ยังต้องฝึกอยู่ครับ เพื่อให้จิตสงบจะได้มีกำลังใจไปพิจารณาในธรรม ซึ่งก็อยู่ในกายในจิตของผมเอง พิจารณาความชั่วในใจตัวเอง การเจริญสติผมก็ยังคงเจริญสติเหมือนเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา ผมยังยึดถือในการเดินจงกรม นั่งสมาธิอยู่ และยังคงเชื่อว่า พระนิพพานที่เป็นเป้าหมายนั้น ได้ด้วยการละ ไม่ได้ด้วยการขอ ต้องละสังโยชน์๑๐ประการ ด้วยอาศัยมรรค๘ โพชฌงค์๗ ดังนั้นการคาดหวังว่าผมจะเข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้ เป็นอันว่าคงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ
สำหรับเรื่องละสักกายทิฐิตัวเดียวไปนิพพานได้นั้น ตามที่ผมฟังและเข้าใจมานั้น ท่านพูดไว้ในทำนองนี้คือ
เบื้องต้นให้รู้สึกเสมอว่าเราต้องตาย คนเราเกิดมาทุกคนไม่มีใครไม่ตาย ก่อนนอนก็คิดว่าคืนนี้นอนไปแล้วอาจจะไม่ได้ตื่นมาเห็นแสงตะวันก็ได้ เช้าออกจากบ้านก็นึกไว้ว่าออกจากบ้านไปตอนนี้ก็อาจจะไม่มีชีวิตกลับมาถึงบ้านก็ได้ การนึกถึงความตายนั้นไม่ใช่ให้จิตใจหดหู่ท้อแท้ไม่ทำงานทำการ หลวงพ่อท่านสอนมโนมยิทธิ เพื่อให้พิสูจน์ว่านรกมีจริง ทำกรรมชั่วแล้วไปนรก บุญมีจริงผลของบุญได้ไปสวรรค์ เมื่อนึกถึงความตายแล้วก็รู้ว่าถ้าทำชั่วตายไปต้องไปชดใช้กรรมในนรก การจะไม่ทำชั่วก็ต้องมีศีล๕ และก่อนจะตายก็ควรจะทำบุญเพื่อให้ตายไปแล้วได้ไปสวรรค์ นี่เป็นเบื้องต้น ที่หลวงพ่อสอน ถ้าหากจะพิจารณาก็จะเห็นว่า 1. การนึกถึงความตาย เป็นการละความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนได้ เพราะเห็นว่าตัวต้องตายอยู่แล้ว จะโลภไปเพื่ออะไร จะโกรธไปเพื่ออะไร จะอยากได้อยากดีอยากมีอยากเป็นเกินกว่าที่สมควรจะได้ไปทำไม ตัวนี้เป็นสักกายทิฐิ 2.เชื่อในนรก สวรรค์ ชาตินี้ชาติหน้า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่สงสัยในผลของบุญและผลของบาป นี่คือวิจิกิจฉา 3. ในเมื่อเกิดมาต้องตาย บุญบาปมีจริง นรกสวรรค์มีจริง จึงไม่ควรจะทำชั่ว การไม่ทำชั่วคือการรักษาศีล เคารพในพระรัตนตรัย อันนี้คือ สีลพตปรามาส จะเห็นว่าที่หลวงพ่อสอนเบื้องต้นนี้คืออารมณ์พระโสดาบัน
                ต่อมาหลวงพ่อสอนให้พิจารณาว่าร่างกายคนเรานี้สกปรกเพียงใด ท่านให้ดูสารพัดขี้ ขี้หัว ขี้ตา ขี้ฟัน ขี้หู ขี้ไคล อุจาระปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ไม่มีส่วนใดเลยที่น่ารักน่าใคร่ มีแต่ความน่ารังเกียจ สกปรกโสโครก เป็นเพียงถุงหนังห่อหุ้มของโสโครกเอาไว้ทั้งนั้น จะเป็นคนหรือสัตว์ก็มีความสกปรกโสโครกนี้เช่นเดียวกัน ตรงนี้หลวงพ่อท่านสอนพิจารณาเป็นอสุภะ เพื่อให้เบื่อหน่ายคลายกำหนัดในเรื่องเพศ คือกามราคะ และเห็นว่าคนและสัตว์ทั้งหลายก็เหมือนๆกันเพื่อทำลายมานะ ตรงนี้เป็นอารมณ์พระอนาคามี (ส่วนปฏิฆะ,รูปราคะ,อรูปราคะ,อุทธัจจะ หลวงพ่อท่านไม่ค่อยจะเอ่ยถึง เพราะตัวที่หนักคือ มานะ และกามราคะ ตัดสองตัวนี้ได้ ตัวที่เหลือก็เบาบางลงไปเอง ปฏิฆะเป็นอารมณ์หงุดหงิดขัดข้องใจ รูปราคะคือยินดีในรูปฌาน อรูปราคะคือยินดีในอรูปฌาน อุทธัจจะคือความฟุ้งซ่านรำคาญใจ )

                ที่สุดแล้วหลวงพ่อสอนว่า ในท้ายที่สุดทุกคนต้องตาย ร่างกายก็เหมือนท่อนไม้และท่อนฟืน เน่าเปื่อย ผุพัง สลายหายไปเป็นอนัตตา หาความจีรังยั่งยืนไม่ได้ การเกิดทุกภพทุกชาติก็เป็นทุกข์แบบนี้ทุกชาติไป แม้จะไปเกิดบนสวรรค์ ไปเกิดเป็นพรหม เมื่อถึงวาระก็ต้องกลับลงมาเกิด ถ้าโชคดีหน่อยก็ได้มาเกิดเป็นคน แต่ส่วนมากไปลงนรกบ้าง ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง มีที่เดียวที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดก็คือพระนิพพาน ตรงนี้หลวงพ่อท่านสอนให้พิจารณาร่างกายว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของเรา และให้เห็นการเกิดเป็นทุกข์ ตรงนี้คือตัดตัวอวิชชา คำว่าอวิชชา ในความหมายของหลวงพ่อคือ ความยินดีในการเกิด ดังนั้นเมื่อเห็นภัยในวัฏฏะสงสารแล้ว ย่อมไม่ยินดีในการเกิด มีจิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์
สิ่งพื้นฐานที่หลวงพ่อกำชับเอาไว้บ่อยๆคือ ศีล๕ กรรมบถ๑๐ พรหมวิหาร๔ บารมี๑๐ จรณะ๑๕ และให้นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์
                นี่คือการละสักกายทิฐิเพียงตัวเดียวก็สามารถเข้านิพพานได้ ตามที่ผมได้ยินได้ฟังและเข้าใจมา ซึ่งหนีไม่พ้นการเจริญสมถะและวิปัสสนาแต่อย่างใด จะอาศัยการนั่งนึกคิดจินตนาการเอาไม่ได้


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิปัสสนานั่งหลับตา ตอนที่ 1

มหาสติปัฏฐาน๔ฉบับหลงธรรมตอนที่๒

พระนิพพาน ๑