บทความ

หลงสายกลาง

รูปภาพ
  มัชฌิมาปฎิปทา คือทางสายกลาง ที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงตรัสแนะนำเอาไว้ และได้ทรงตรัสห้าม ส่วนสุดสองอย่าง คือ การทรมานร่างกายให้ได้รับความลำบาก เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค และการปรนเปรอปล่อยกายปล่อยใจไปกับความสุข เรียกว่า กามสุขัลลิกานุโยค      ตอบแบบง่ายๆ กำปั้นทุบดิน ทางสายกลางก็คือการปฏิบัติที่เป็นกลางๆ ไม่ทรมานตนเองและก็ไม่ปล่อยกายปล่อยใจไปในความสุขทางโลกๆ ไม่หนักไป ไม่เบาไป ไม่เอียงไปทางซ้าย ไม่เอียงไปทางขวา เมื่อฝึกไปแล้วก็จะรู้เองว่านี่แหละ ทางสายกลาง นี่คือสิ่งที่ผมรู้เมื่อตอนที่ยังไม่รู้ ตอนที่ยังหลงทางหลงธรรม หลงคิดว่าตัวเองรู้ จนกระทั่งมันเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ก็ในเมื่อหลวงพ่อให้เราทำความเพียรให้มากๆ ทำให้ชำนิชำนาญ ทำจนเป็นวสี แบบนี้มันจะไม่เป็นการทรมานกายได้ยังไง เดินจงกรมวันละ11-13ชั่วโมง นั่งสมาธิ 4-6 ชั่วโมง มันก็ปวด เมื่อย ทรมานร่างกาย ท่านก็บอกว่ามันเป็นขันธมาร มารแปลว่าผู้ฆ่า ผู้ทำลาย คือทำลายความเพียร แล้วท่านก็ว่าให้ว่าฝึกแบบนี้ยังชื่อว่าเป็นผู้เกียจคร้าน      ตกลงแล้วอะไรเป็นเครื่องชี้วัดว่า ณ เวลานี้เรากำลังทรมานกาย อย่างที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห

พระนิพพาน 2

รูปภาพ
  พระนิพพาน 2                 ละสักกายทิฐิ ตัวเดียวไปนิพพานได้ไหม ผมถูกตั้งคำถามนี้โดยคนใกล้ตัว ที่ไปอ่านมาว่า ป้าคนนึงนอนเป็นอัมพาตแล้วลูกหลานเปิดเทปหลวงพ่อให้ฟัง พอตายไปก็มาเข้าฝันบอกลูกหลานว่า เข้าพระนิพพานแล้ว คำสอนของหลวงพ่อฤษีถูกต้องหมดทุกอย่าง เรื่องการละสักกายทิฐิเพียงอย่างเดียวเข้าถึงพระนิพพานได้ ผมยืนยันว่าหลวงพ่อพูดจริงและในปีสุดท้ายของหลวงพ่อท่านก็สอนย้ำเรื่องนี้วันละหลายๆรอบ ท่านอธิบายโดยละเอียด เป็นลำดับขั้นตอน ซ้ำไปซ้ำมา การสอนของหลวงพ่อนั้น ทุกคนฟังเหมือนกัน ฟังพร้อมๆกัน แต่มีความเข้าใจในเนื้อหา หรือการจับประเด็นที่หลวงพ่อเทศน์สอน ไม่เหมือนกัน   ป้าที่มาเข้าฝันก็ไม่อธิบายด้วยว่า ท่านละสักกายทิฐิได้อย่างไร ตั้งแต่อารมณ์พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี จนถึงอารมณ์พระอรหัตผล                 ปัญหาจึงเกิดขึ้นว่า มีคนจำนวนไม่น้อย คิด ต้องย้ำคำว่า คิด(ด้วยสมอง) เอาว่า เราไม่สนใจในร่างกายนี้แล้ว เราไม่อยากเกิดอีกแล้ว เรานึกถึงพระนิพพานเอาไว้ ตายไปเราก็จะไปพระนิพพานเหมือนอย่างที่หลวงพ่อฤษีท่านบอกเอาไว้ ทีนี้พอใครไปเถียงเข้านี่ จะโดนหาว่าเถียงคำสอนหลวงพ่อรึ แกจะตกอเวจี

พระนิพพาน ๑

รูปภาพ
พระนิพพาน การเข้าสู่พระนิพพานสมัยนี้ ดูจะไม่ใช่เรื่องยาก ทำไมใครๆก็เข้านิพพานกันได้                 หากจะนับไปแล้ว การพูดถึงพระอรหันต์ เรื่องพระนิพพาน เริ่มมีมาในสมัยหลวงปู่มั่น ต่อมามีการแพร่หลายมากยิ่งๆขึ้นก็ด้วยบารมีของหลวงพ่อพระราชพรหมญาณ วัดท่าซุง ณ จุดนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการกล่าวถึง สมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าพระองค์แรกที่อุบัติขึ้น ในอดีต                 หลายสิบปีก่อน การพูดถึงพระอรหันต์ พระนิพพาน เป็นเรื่องใหญ่ ลึกลับ ต้องห้าม มาในปัจจุบันนี้มีการใช้คำเหล่านี้จนกลายเป็นเรื่องปกติทั่วไป เรียกเจ้าหน้าที่รัฐ องค์กรอิสระ ว่าเป็นอรหันต์ เรียกความสุขในการได้กินไอติม ขนม หรืออาหาร ว่านิพพาน เรียกพ่อแม่ว่าเป็นพระอรหันต์ของลูก                 ปัจจุบันเรามักจะได้ยินบ่อยๆว่า คนนั้นเข้าพระนิพพานไปแล้ว คนนี้ก็เข้าพระนิพพานไปแล้ว ตอนมีชีวิตอยู่คนเหล่านี้ได้ถวายสังฆทานชุดใหญ่ เป็นประจำ คนนั้นได้ไปกราบไหว้ครูบาอาจารย์ได้สร้างพระองค์ใหญ่ ตายไปก็เข้าสู่พระนิพพาน เป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งโดยมากก็เป็นฆราวาส แล้วก็มีผู้ได้ฌานมารับรองว่าเข้าสู่พระนิพพานไปแล้ว คนก็โมทนาสาธุกัน พอมาถามผม ผ

พระโพธิสัตย์กับความปรารถนา

รูปภาพ
พระโพธิสัตย์กับความปรารถนา           เมื่อครั้งที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเสด็จกลับจากสวรรค์ชั้นดาวดึงษเทวโลก ทรงบันดาลให้นรก มนุษย์ พรหมเทวดา มองเห็นได้ถึงกันหมด แม้สัตว์เดรัจฉานก็ได้เห็นได้รู้ ทรงมีพุทธประสงค์เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ว่า โลกนี้โลกหน้ามีอยู่จริง ทำดีได้ไปสุคติภพมีอยู่จริง ทำบาปต้องตกนรกนั้นมีอยู่จริง สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมในวัฏฏะสงสารนี้ด้วยกันทั้งสิ้น ทำให้ชนทั้งหลายที่มีปัญญาเกิดสลด ปลงธรรมสังเวช เห็นทุกข์เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร           คนจำนวนไม่น้อยรวมถึงสัตว์เดรัจฉาน เทวดา พรหม แม้แต่สัตว์นรก ได้เห็นพุทธะปาฎิหาริย์แล้วเกิดรู้สึกเลื่อมใสศรัทธา และอยากมีพุทธบารมีเช่นนั้นบ้าง ในเวลานั้นมีจำนวนมาก นับล้านๆชีวิต(ทั้งสัตว์,คน,สัตว์นรก,พรหม,เทวดา และผู้อยู่ในภพภูมิต่างๆ) ต่างพากันตั้งความปรารถนาจะขอตรัสรู้เพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หากจะนับไปถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ก่อนๆที่มีผู้ปรารถนาแบบเดียวกันนี้ ก็จะมีมากมายมหาศาล แม้ว่าความปรารถนานี้จะไม่อาจสำเร็จได้ ด้วยขอลากันไปก่อนนั้น แต่ก็มีข้อดีที่ทำให้คนและสัตว์จำนวนมาก

อภิหลงธรรม

รูปภาพ
อภิหลงธรรม           ข้อห้ามที่ผมเห็นว่าร้ายแรง ที่นักปฏิบัติธรรมทั้งหลายไม่ควรกระทำ เป็นกับดักระหว่างการพิจารณาธรรม ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน รวมทั้งตัวผมเองด้วย ผมเห็นว่านี่คืออภิมหาหลงธรรม           ครูบาอาจารย์ท่านจะสอนให้พิจารณาร่างกายว่าสกปรก เป็นของน่ารังเกียจ เพื่อให้ลดความเย่อหยิ่ง ทะยานอยาก จองหอง อวดดื้อถือดี อวดโก้ อวดเก่ง มีอาการ๓๒บ้าง อาหาเรปฏิกูลสัญญา อสุภกรรมฐาน ธาตุ๔ ให้พิจารณาจบลงตรงไตรลักษณ์เป็นที่สุด มีเป้าประสงค์เพื่อคลายความยึดมั่นถือมั่น เพื่อเตรียมจิตให้พร้อมต่อการเข้าถึงสภาวะธรรมที่ละเอียดยิ่งๆขึ้นไป           อภิมหาหลงธรรม เกิดขึ้นตอนนี้เองคือ พิจารณาไปว่าร่างกายนี้มันก็เป็นแต่ร่างกายนี้ คำว่าสกปรกหรือคำว่าสะอาดก็เป็นแต่เพียงคำสมมติเรียกกันขึ้นมา แท้จริงแล้วร่างกายนี้ไม่ได้สกปรกหรอก มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง มันก็ไม่ได้สะอาดหรอก มันก็เป็นของมันอย่างนั้นเอง การไปเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของสกปรกน่ารังเกียจก็เป็นการยึดในอารมณ์ร้าย การไปยึดว่าร่างกายเป็นของดีน่าทะนุถนอม ก็เป็นการยึดในอารมณ์ดี ซึ่งก็ล้วนแล้วเป็นการยึดติดในร่างกายทั้งสิ้น

เบื่อ

รูปภาพ
เบื่อกับนิพพิทาญาณ ต่างกันอย่างไร           เบื่อ เป็นอารมณ์ทางโลก เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จิตใจเศร้าหมอง ไม่ก่อให้เกิดปัญญา นิพพิทาญาณ เป็นการเบื่อทางธรรม ช่วงจังหวะที่จะก้าวข้ามทางโลกเข้าสู่ทางธรรม เป็นความเบื่อที่เห็นความซ้ำซาก เห็นความโง่ในความหลงของตนและสรรพสัตว์ทั้งหลายซ้ำๆซากๆจนเบื่อหน่าย จิตใจมันไม่อยากเอา ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากเกิด มีจิตคิดใคร่ครวญในการหาทางออกจากวัฏฏะสงสารนี้ แต่ว่าปัญญาในการหาหนทางออกยังไม่เกิด จิตไม่ได้เศร้าหมองแบบหดหู่ ห่อเหี่ยว ท้อแท้ ทอดอาลัย นิพพิทาญาณนี้มีปัญญา คือเห็นปัญหา เห็นทุกข์ ของการเวียนว่ายตายเกิด เป็นการเอาเรื่องทางโลกมาพิจารณาในทางธรรม           จู่ๆจะเกิดนิพพิทาญาณเองไม่ได้ครับ นิพพิทาญาณมีพื้นฐานเดิมมาจากการพิจารณาในกายในจิตของตน ที่หลวงพ่อสอนให้พิจารณากายว่าสกปรก เป็นของไม่น่าดู ลำดับด้วยอาการ 32 ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ ฯลฯ พิจารณาให้เห็นถึงความสกปรก เป็นของเน่าเหม็นอยู่เนืองๆ พิจารณาอาหารเป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญา ให้เห็นว่าอาหารนี้มีความเสื่อมไปบ้าง ย่อมเน่าเหม็นบ้าง เมื่อกระทบกับร่างกายอันเน่าอยู่เป็นนิจนี้แล้วย่

วิปัสสนานั่งหลับตา ตอนที่ 2

รูปภาพ
วิปัสสนานั่งหลับตาตอนที่ 2                คนเราสมัยนี้มีความมักง่าย มักใหญ่ใฝ่สูง มีความทะยานอยากมาก แต่ว่ามีความเพียรน้อย ความอดทนอดกลั้นมีน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็มักมุ่งไปหาแนวทางที่จะบรรลุธรรมโดยง่าย บรรลุธรรมโดยเฉียบพลัน จึงไปยึดถือเอาตัวอย่างของท่าน พาหิยะ ที่ฟังธรรมสั้นๆก็สำเร็จอรหัตผล พระสารีบุตตะ ที่ฟังธรรมวาระเดียวสำเร็จเป็นพระโสดาบัน โดยไม่เคยดูตัวอย่างพระอานนท์ ที่ฟังเทศน์ฟังธรรม มาตลอดพระชนมายุขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็ยังเป็นพระโสดาบันในวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธ์ เข้าสู่พระนิพพาน หวังแต่จะบรรลุเร็วๆ โดยไม่ดูว่าพระที่ท่านฟังเทศน์จบเดียวสำเร็จอรหัตผลเลยนั้น ท่านได้ประกอบกิจความเพียรในแต่ละชาติเอาไว้อย่างไรบ้าง บารมีที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นทำเอาไว้ เกินกว่าผลที่จะเกิดขึ้นไปไกลมากแล้ว เปรียบเหมือนคนที่เดินไฟ ติดสวิตช์ ติดหลอด ทุกอย่างพร้อมแล้ว รอเพียงมีคนมากดสวิตช์เข้า เพียงเท่านั้นไฟก็จะติดสว่างไสว แล้วลองหันมามองดูตัวของเราเอง สายไฟไม่มี หลอดไฟก็ไม่มี สวิตช์ก็ไม่มี ไม่มีอะไรสักอย่างเดียว แต่ว่าอยากจะสว่างไสว จุดติดในทันที คนพวกนี้มีเยอะมาก แ