วิปัสสนานั่งหลับตา ตอนที่ 2


วิปัสสนานั่งหลับตาตอนที่ 2


               คนเราสมัยนี้มีความมักง่าย มักใหญ่ใฝ่สูง มีความทะยานอยากมาก แต่ว่ามีความเพียรน้อย ความอดทนอดกลั้นมีน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็มักมุ่งไปหาแนวทางที่จะบรรลุธรรมโดยง่าย บรรลุธรรมโดยเฉียบพลัน จึงไปยึดถือเอาตัวอย่างของท่าน พาหิยะ ที่ฟังธรรมสั้นๆก็สำเร็จอรหัตผล พระสารีบุตตะ ที่ฟังธรรมวาระเดียวสำเร็จเป็นพระโสดาบัน โดยไม่เคยดูตัวอย่างพระอานนท์ ที่ฟังเทศน์ฟังธรรม มาตลอดพระชนมายุขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็ยังเป็นพระโสดาบันในวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธ์ เข้าสู่พระนิพพาน หวังแต่จะบรรลุเร็วๆ โดยไม่ดูว่าพระที่ท่านฟังเทศน์จบเดียวสำเร็จอรหัตผลเลยนั้น ท่านได้ประกอบกิจความเพียรในแต่ละชาติเอาไว้อย่างไรบ้าง บารมีที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นทำเอาไว้ เกินกว่าผลที่จะเกิดขึ้นไปไกลมากแล้ว เปรียบเหมือนคนที่เดินไฟ ติดสวิตช์ ติดหลอด ทุกอย่างพร้อมแล้ว รอเพียงมีคนมากดสวิตช์เข้า เพียงเท่านั้นไฟก็จะติดสว่างไสว แล้วลองหันมามองดูตัวของเราเอง สายไฟไม่มี หลอดไฟก็ไม่มี สวิตช์ก็ไม่มี ไม่มีอะไรสักอย่างเดียว แต่ว่าอยากจะสว่างไสว จุดติดในทันที คนพวกนี้มีเยอะมาก แล้วก็เสกสรรปั้นวาทะกรรมต่างๆขึ้นมาหลอกตัวเอง แต่ว่าไม่ฝึกฝน ไม่มีความเพียร หลงเพ้อไปวันๆว่าเรานี้กำลังจะบรรลุธรรมแล้ว นี่มันน่าสมเพชมาก

               นั่งสมาธิ หลับตา แล้วจะเป็นวิปัสสนาได้อย่างไร ?

               การนั่งสมาธิ มีจุดมุ่งหมายในเบื้องต้น ต้องขอเน้นคำว่า ในเบื้องต้น คือในเบื้องต้นยังไม่ได้ไปถึงระหว่างกลางและในที่สุด ซึ่งคนทั่วไปมักเอาจุดมุ่งหมายในเบื้องต้นไปพูดว่าเป็นที่สุดของการฝึกสมาธิ ซึ่งผิดมหันต์ จุดมุ่งหมายในเบื้องต้นของการฝึกสมาธิ ในที่นี้ขอพูดถึงเรื่องการนั่งสมาธิก่อน คือ การทำจิตใจให้เข้าถึงความสงบ(จากความฟุ้งซ่าน) ความระงับ(จากอารมณ์ภายนอกต่างๆ) เพื่อจะได้อาศัย ความสงบ สงัด นี้เป็นที่พิจารณาในหัวข้อธรรมต่างๆ ด้วยอาการจดจ่อต่อหัวข้อธรรมนั้นๆ ไม่วอกแวก จนเมื่อรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแล้ว ก็ระงับการพิจารณาหัวข้อธรรม แล้วทิ้งให้จิตสงบสงัดหลับไป เพื่อเป็นการพักผ่อน แต่ก็มีการกำหนดไว้ในใจว่า เราจะพักผ่อนเป็นเวลากี่นาที เมื่อถึงเวลา จิตก็จะตื่นขึ้นมา เพียรพิจารณาในหัวข้อธรรมต่อไป ซึ่งการพิจารณาหัวข้อธรรมใดๆก็ตาม ย่อมหนีไม่พ้นไปจากการพิจารณาเรื่องของกาย และ เรื่องของจิต การพิจารณาทุกครั้งจะไปจบลงที่ไตรลักษณ์เสมอ ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้เลย

               การนั่งสมาธิ หลับตา ดำเนินไปแบบนี้ครับ เมื่อจิตเริ่มสงบจากอารมณ์ สติหรือผู้รู้ ก็รู้อยู่ว่าเวลานี้จิตกำลังสงบจากอารมณ์ เมื่อจิตหดตัวถอยออกจากการรับรู้ร่างกาย สติก็รู้อยู่ว่าเวลานี้จิตแยกออกจากกาย เพียงแต่ไม่มีการวิตก วิจารณ์ เพียงสักแต่ว่ารู้อาการเป็นไปของจิตที่ค่อยๆถอนออกจากความคิด ถอนออกจากอารมณ์ จนกระทั่งจิตสว่างโพลงอยู่ภายใน โดนเด่น เป็นหนึ่ง สติหรือผู้รู้ ก็รู้อยู่ว่าเวลานี้จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง อารมณ์เป็นหนึ่งนี้จะเป็นอารมณ์ใด อารมณ์หนึ่งก็ได้ แต่ที่นิยมกันจะเป็นอุเบกขารมณ์ คืออารมณ์ที่เป็นกลางๆ โดยมีผู้รู้ หรือสติ คอยดูอยู่ ดังนั้นสมาธิที่นั่งหลับตาแบบนี้ ไม่ใช่สมาธิตอไม้ ไม่ใช่สมาธิโง่ๆอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด เมื่อจิตสงบมาจนถึงตรงนี้แล้ว ก็จะนึกเอาอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งที่อยู่ภายในขึ้นมาพิจารณา ถึงอารมณ์โกรธก็ดี อารมณ์เมตตาก็ดี อารมณ์มุฑิตาก็ดี อารมณ์ห่วงใยก็ดี เป็นอารมณ์จากภายในขึ้นมาพิจารณา โดยมีสติคอยตามกำกับดูอยู่ รู้อยู่ เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนเมื่ออารมณ์ภายในต่างๆเจือจางลง ในบางครั้งก็จะค่อยๆถอนออกจากสมาธิ เมื่อจิตคลายออกจากสมาธิแล้ว ร่างกายและจิตในเริ่มรวมเข้าด้วยกัน จิตใจและร่างกายเริ่มรับรู้ถึงทุกขเวทนา รับรู้อารมณ์จากภายนอก รับรู้ผัสสะภายนอก จากหูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายรับสัมผัส สติผู้ตามรู้ตามดูจิตอยู่ สัมปชัญญะตามรู้สึกตัวที่ร่างกาย ก็ได้พิจารณาในผัสสะทั้งหลายที่เข้ามากระทบกาย กระทบจิต ระหว่างที่กำลังถอนจิตของตนออกจากสมาธิ ทำให้เกิดการพิจารณาขึ้นที่กาย ที่จิต การพิจารณาตรงนี้กินระยะเวลายาวนาน หรือสั้นๆ ก็สุดแท้แต่ละท่านจะทำกัน บางท่านก็จะย้อนกลับเข้าสู่สมาธิอีกครั้ง บางท่านก็จะทรงสัมปชัญญะแล้วขยับกายลุกขึ้น พิจารณาในฐานกายไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งวันทั้งคืน นี่เป็นสิ่งที่นักปฏิบัติทางจิตทั้งหลายทำกัน

               ดังนั้นเวลาไปเห็นใครนั่งสมาธิหลับตา ก็อย่าพึ่งรีบไปด่าว่าเขาเหล่านั้น ว่าโง่บ้าง ไม่มีปัญญาบ้าง หลับหูหลับตานั่งไปไม่มีทางเป็นวิปัสสนาได้หรอก การจะไปด่าคนอื่นเขา ตัวเราต้องทำตัวของตัวเองให้พ้นจากกิเลส ตัณหาให้ได้เสียก่อน เอาความชั่วของตัวเองกำจัดให้สิ้นเสียก่อน ค่อยไปด่าความชั่วความเลวของคนอื่น แต่ว่าคนที่เขากำจัดความชั่วความเลวของตนเองหมดแล้วเขาจะไม่ไปเที่ยวเสือกเรื่องความชั่วความเลวของบุคคลอื่นแต่อย่างใด แม้แต่คนที่กำลังทำความเพียรละชั่วก็จะมีนิสัยอย่างเดียวกันคือไม่มีความคิดจะไปจ้องจับผิดคิดชั่วกับใครเขา เนื่องจากไม่มีเวลาไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน เวลาที่มีเขาเอามายุ่งกับความชั่วของตัวเอง ร้องทุกข์กล่าวโทษโจษจันแต่ความชั่วของตัวเองก็ไม่มีเวลาไปยุ่งกับความชั่วของคนอื่นเสียแล้ว มีแต่จะเอาเวลาไปหาอุบายในการทรมานความชั่วในใจตนเองเท่านั้น พิจารณาถึงข้อบกพร่องในวัตรปฏิบัติของตนเองที่ยังไม่เหมาะไม่ควร แล้วหาทางพลิกฟื้นแก้ไขให้ดียิ่งๆขึ้นไป ธรรมใดที่ยังย่อหย่อนอยู่ก็เร่งรัดพัฒนาตนเอง จะยืน เดิน นั่ง นอน จะหลับตา หรือจะลืมตา ก็เป็นการปรารถความเพียรด้วยกันทั้งสิ้น ไม่มีเวลาว่างเว้นให้ความชั่วมาคอยกำเริบ จะหลับตาก็พิจารณาอารมณ์จากภายใน จะลืมตาก็พิจารณาอารมณ์จากผัสสะภายนอก จะนั่งนิ่งๆก็สงบสงัด เป็นสมาธิ ปัสสัทธิ จะยืนจะเดินก็มีสัมปชัญญะ อุดมสมพรไปด้วย ศีล สมาธิ สติ สัมปชัญญะ ธรรมะวิจะยะ จนเกิดเป็นปัญญาเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ กิเลสและสิ่งชั่วในดวงใจก็ถูกปัญญา ประหัตประหารลงไปทุกๆวัน

               ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นนักปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง ที่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์จนได้มีโอกาสเห็นผลของการปฏิบัติตามที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอนเอาไว้ชอบแล้วนั้น ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า พระอริยะสาวกทุกๆรูปก็ปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ดำเนินหนทางตาม มรรค ๘ มีโพชฌงค์ ๗ ประการ ทำความเพียรเช่นนี้ นับภพนับชาติไม่ถ้วน ท่านทั้งหลายอาจจะมาเห็นเอาในภพชาติสุดท้ายของพระอริยะสาวกทั้งหลาย ได้บรรลุธรรมยากง่ายแตกต่างกัน แต่ข้าพเจ้าเห็นถึงภพชาติต่างๆที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านได้ปฏิบัติภาวนาด้วยความวิริยะ อุตสาหะ อย่างยิ่งยวด นับอสงไขยกัล์ป กว่าจะมาบรรลุธรรมกันในชาติสุดท้าย หาได้มีรูปใดที่ไม่บำเพ็ญบารมีอย่างยิ่งยวดแล้วบรรลุธรรมได้ง่ายๆสบายๆ หรือที่เรียกว่า ตรัสรู้โดยเฉียบพลัน

               ข้าพเจ้าภาวนาเร่งรัดความเพียรอย่างยิ่งยวดมาสองแสนชาติแล้ว ชาตินี้ก็มาภาวนาต่อ แม้ว่าจะไม่บรรลุธรรมใดๆ แต่ข้าพเจ้าก็มั่นใจว่าเดินตามทางที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนไว้ไม่ผิดแน่แล้ว ชาตินี้ก็คงไม่ได้บรรลุธรรมอะไรใดๆอีกเช่นเคย แต่ก็ได้สะสมบารมีธรรมในการปฏิบัติเพื่อไปให้ถึงวันหนึ่งข้างหน้า ที่จะบรรลุธรรม พ้นการเวียนว่ายตายเกิด อย่างเช่นตัวอย่างที่ครูบาอาจารย์ท่านได้แสดงไว้เป็นหลักฐานดีแล้ว บันทึกวาระนี้ เพียงเพื่อจะบอกให้ท่านทั้งหลายว่า ขออย่าได้ประมาท มักง่ายในการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมไม่ใช่ของง่ายๆ ที่อาศัยคำพูดเพียงไม่กี่คำก็จะบรรลุธรรมได้ และอย่าไปเที่ยวปรามาสดูแคลนคนที่นั่งสมาธิหลับตา แล้วก็อย่าไปลุ่มหลงกับการนั่งสมาธิลืมตาเคลื่อนไหว ขอให้ทำความเพียรในทุกอริยาบถ ในทุกที่ทุกสถาน จะหลับตา ลืมตา จะยืน เดิน นั่ง นอน และสุดท้ายก็ขออย่าได้ไปสนใจในจริยาของบุคคลอื่น ใครเขาจะดีก็ดีของเขา เขาดีแล้วก็ไม่ได้ทำให้เราดีด้วย ใครเขาจะเลวก็เลวที่เขา ไม่ได้ทำให้เราพลอยเลวไปด้วย ให้มาสนใจจริยาเลวๆของตัวเราเองดีกว่า ว่าจะระงับ กำจัดทิ้งได้อย่างไร ถ้าใจมันชั่ว คิดชั่ว ก็ให้มันชั่วอยู่ที่คิด อย่าได้ให้ความชั่วมันเอ่อล้นออกมาทางวาจา ทางตัวหนังสือ กำจัดไม่ได้ก็ขังมันเอาไว้ก่อน อย่าเที่ยวปล่อยให้ความชั่วทะลักออกมาทางปากแล้วไปอาละวาดใส่บุคคลอื่น กัดลิ้นเอาไว้แล้วอาศัยขันติ คือความอดกลั้น กดข่มเอาไว้อยู่ภายใน แล้วค่อยหาหนทางกำจัดมันลงไปทีละนิด ทีละน้อย สักวันหนึ่งก็จะค่อยๆเลวน้อยลงได้

               ในที่สุดนี้ ถ้าท่านทั้งหลายยังไม่แน่ใจว่าจะปฏิบัติทางไหนดี ก็ขอแนะนำให้ไปศึกษาแนวทางการปฏิบัติที่หลวงพ่อฤษี หลวงปู่ดู่ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เทสส์ หลวงปู่ดูลย์ หลวงพ่อพุธ ท่านได้แนะนำเอาไว้ชัดเจนดีแล้ว ฝึกตามนี้ ทำตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ไปอย่างซื่อสัตย์ ท่านจะพบสิ่งที่พบได้ยาก จะได้รู้ได้เห็นในธรรมอันควรแก่การประพฤติปฏิบัติในวันใดวันหนึ่งข้างหน้าอย่างแน่นอน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิปัสสนานั่งหลับตา ตอนที่ 1

มหาสติปัฏฐาน๔ฉบับหลงธรรมตอนที่๒

พระนิพพาน ๑