บรรลุธรรม บรรลุอะไร ทำไมจึงพูดไม่ได้ ตอนที่ 1

บรรลุธรรม บรรลุอะไร ทำไมจึงพูดไม่ได้ ตอนที่ 1
            
    สำหรับนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ย่อมมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการได้บรรลุธรรม ได้เห็นสภาวธรรมอันเป็นปรมัตถสัจจะ คือความจริงอันสูงสุด เพราะได้ยินมาว่ารสแห่งพระธรรมนั้นเลิศกว่ารสทั้งปวง ก็อยากจะได้ชิมลิ้มรสนั้นๆ อยากเห็นสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านได้เห็น ได้สัมผัส ว่าแท้จริงแล้วเป็นเช่นไร บ้างก็เชื่อว่าพูดไม่ได้ บ้างก็บอกว่าต้องลุกขึ้นยืนเอามือปิดปากเอาไว้ นั่นแหละธรรมที่แท้จริง

                เมื่อบรรลุธรรมแล้วทำไม ครูบาอาจารย์ท่านยังดุด่าว่ากล่าว ส่งเสียงดังเอ็ดตะโรได้ แล้วจริงๆบรรลุธรรมคืออะไร ท่านบรรลุอะไรกัน ในที่นี้ผมก็จะขอเล่าต่อจาก ตอนจบของ เรื่อง หลงทาง ว่าอาการบรรลุธรรมนั้น เป็นเช่นไร ซึ่งก็ขอให้อ่านแต่เพียงใช้ประกอบการพิจารณาเท่านั้น อย่าได้หลงคิดว่า ผู้เขียนเป็นผู้บรรลุธรรมแล้ว และขอให้คิดไว้เสมอว่า ผู้เขียนยังเป็นผู้หลงธรรม ยังไม่ได้มีความดี ความวิเศษแต่อย่างใด เพียงแต่นำเอาบางแง่มุม มาแสดงให้พอได้เพิ่มตรรกะใหม่ๆเท่านั้น     
         
            การบรรลุธรรม เท่าที่เห็น ก็เป็นการเห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง เป็นสภาวธรรมที่ไม่มีภาษา ไม่มีเหตุ ไม่มีผล ไม่มีที่มา ไม่มีที่ไป เกิดที่ตรงนั้น แจ้งอยู่ที่นั่น และพ้นไปอยู่ตรงนั้นเอง เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะทำให้ความยึดมั่นถือมั่นที่เคยมีมาทั้งหมด หายไปจนหมดสิ้น ปราศจากข้อสงสัย ดับสนิทไม่มีส่วนเหลือ ความยึดมั่นที่หายไปนี้ คือการยึดมั่นในรูป ว่านี่คือตัวเรา และการยึดมั่นในนาม ว่านี่คือ ความจำได้หมายรู้ของเรา นี่คืออารมณ์ปรุงแต่งของเรา นี่คือความรู้สึกนึกคิดของเรา นี่คือความรู้สึกยินดียินร้ายของเรา รวมความแล้วคือ เป็นการทำให้ความยึดมั่นถือมั่น ในรูป และ ในนาม หมดสิ้นไป โดยการเห็นสัจจะความจริง ปรากฏขึ้นแก่จิต แล้วดับลงที่จิต หาใช่ความรู้อันเกิดจากธาตุรู้ หรือความจำได้ คิดได้

                สภาวะที่ว่านี้ไม่มีภาษา เพราะเป็นปรมัตถสัจจะ จึงไม่สามารถอธิบายได้ แต่ถ้าอธิบายไม่ได้ก็สื่อสารกันให้เข้าใจไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องมีสมมุตติบัญญัติเกิดขึ้น เพื่อใช้ในการสื่อสารต่อกัน จึงเกิดเป็นภาษาคำพูดขึ้น ซึ่งแม้จะไม่ตรงตามสิ่งที่ได้สัมผัสรับรู้ที่จิต แต่ก็พอจะเทียบเคียงให้ผู้ที่บรรลุธรรมทั้งหลายได้เข้าใจสภาวะที่ตรงกันได้ ส่วนสาเหตุที่ไม่มีการบอกเล่านั้น เนื่องจากผู้ที่บรรลุธรรมทั้งหลาย ในเบื้องต้น จะเห็นว่า ธรรมนี้ลึกซึ้งสุขุมลุ่มลึกเกินกว่าปัญญาของปราชญ์ทั้งหลายจะเข้าถึงได้ ต่อมาเมื่อพิจารณาแล้ว ก็เห็นว่า การพูดหรือเล่าถึงสภาวธรรมทั้งหลายเหล่านี้ออกไปนั้น มีแต่โทษ ไม่มีประโยชน์ใดๆเลย เมื่อเห็นว่าเป็นโทษ ไม่เกิดประโยชน์ใดๆเลย ท่านเหล่านี้จึงตัดสินใจว่า จะไม่เล่า จนกว่าจะมีคนที่บรรลุธรรมได้สนทนาด้วยก็จะกล่าวโมทนาขึ้น เพื่อเป็นการยืนยันถึงสิ่งที่รู้ที่เห็นว่าเป็นธรรมอันชอบ เป็นธรรมอันยิ่งแล้ว

                สำหรับคนฉลาด มีไอคิวสูง สามารถเข้าใจความต่างๆได้ง่ายและลึกซึ้งกว่าคนทั่วไป เมื่อได้ฟังสภาวธรรมแล้ว ก็จะจดจำเอาไปวิเคราะห์เรียบเรียงแล้วนำไปพูดใหม่ เพื่อทำให้ตัวเองดูดี อีกพวกหนึ่งก็จะคิดและวิเคราะห์เอาแล้วก็สรุปว่าตนเองเข้าใจสภาวธรรมนั้นแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว และยังสามารถนำไปประดิษฐ์คำใหม่ๆให้ดูเท่ ดูหรู ยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ย่อมทำให้ขาดผู้ฝึกฝนทางจิตและขัดขวางการพัฒนาทางด้านจิต จนทำให้ผู้คนหลงใหลกับสิ่งที่ได้รับฟังมา แล้วทึกทักเอาว่า พวกเราก็บรรลุธรรมกันแล้วเช่นกัน


                สำหรับคนโง่ หรือมีไอคิวต่ำ เมื่อได้ฟังแล้ว ก็จะเอาไปจับเป็นประเด็นแบบผิดๆ แล้วก็ทึกทักเอาว่าตนเองเข้าใจดีแล้ว กับสภาวธรรมนั้นๆ ก็เที่ยวเอาไปพูดอย่างผิดๆ ตามความเข้าใจอันโง่เขลาของตน จนที่สุดก็หลงว่าตนนี้เป็นผู้เข้าถึงธรรมแล้ว ไปปรามาสดูหมิ่นครูบาอาจารย์บางท่าน ด้วยสำคัญว่าตัวเองบรรลุธรรมแล้ว แบบนี้ก็มี

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิปัสสนานั่งหลับตา ตอนที่ 1

มหาสติปัฏฐาน๔ฉบับหลงธรรมตอนที่๒

พระนิพพาน ๑