บรรลุธรรม บรรลุอะไร ทำไมจึงพูดไม่ได้ ตอนที่ 2

บรรลุธรรม บรรลุอะไร ทำไมจึงพูดไม่ได้ ตอนที่ 2
                
                สำหรับประเด็นที่จะเล่าต่อไปนี้ ก็ขอให้ท่านผู้อ่าน เมื่อได้อ่านแล้ว อย่าได้นำออกไปพูดต่อ เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด หรือเข้าใจคลาดเคลื่อน ขอให้อ่านแต่เพียงเพื่อการพิจารณาเป็นการส่วนตัว ในฐานะที่พวกเรายังเป็นผู้หลงทาง หลงธรรมอยู่

                การได้เห็นสภาวธรรมอันทำลายความยึดมั่นถือมั่น ในรูป ในนาม ในสมมุติบัญญัติทั้งหลายลงแล้วนั้น ผู้ภาวนาจะยังคงพิจารณาต่อไปถึงปรมัตถธรรมนี้ว่า เมื่อเกิดขึ้นแล้วบนโลกนี้ ย่อมเป็นของคู่โลกนี้ เป็นแต่เพียงญาณวิถี เพื่อให้สัตว์ทั้งหลายได้หลุดพ้น หาใช่จะยึดมั่นถือมั่นเอาไว้ได้ เมื่อพิจารณาจนจบแล้ว ย้อนพิจารณาใหม่ซ้ำไปซ้ำมาอย่างรอบคอบถี่ถ้วนดีแล้ว ใจก็จะวางลงทั้ง รูป นาม ไม่ใช่รูปไม่ใช่นาม และปรมัตถธรรมที่ตนรู้ตนเห็น เมื่อนั้นแล้วจะกลับสู่สภาวะปกติธรรมดา เป็นธรรมดาอย่างยิ่ง และเป็นปกติอย่างยิ่ง กล่าวคือ เมื่อเห็นผู้หญิงสวย ก็รู้อยู่ว่าผู้หญิงคนนี้สวย เมื่อเห็นผู้ชายคนนี้หล่อ ก็รู้อยู่ว่าผู้ชายคนนี้หล่อ เมื่อเห็นต้นไทร ก็รู้ว่าต้นนี้คือต้นไทร เมื่อเห็นโบสถ์ก็รู้อยู่ว่านี่คือโบสถ์ ย่อมรู้ว่าเป็นสถานที่อันควรเคารพนอบน้อม สำรวมระวัง เมื่อเห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ ก็รู้ว่านี้คือโต๊ะ นี้คือเก้าอี้ มีประโยชน์สำหรับทำสิ่งใดก็รู้ ผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว ยังคงเห็นทุกๆอย่าง รู้ทุกๆอย่าง อย่างที่คนปกติทั่วไปรู้ แตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ ความรู้ของท่านผู้บรรลุธรรมนั้น ไม่ได้รู้เพื่อการยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไป คือยังยึดอยู่แต่ว่าไม่มั่นแล้ว เช่นมีถ้วยแก้วสวยๆ ก็ใช้ไป ใช้อย่างระมัดระวัง หลีกเลี่ยงไม่ให้มันแตก แต่เมื่อมันแตกแล้ว ก็รู้อยู่ว่ามันแตก ไม่ได้เสียดาย เสียใจ อาลัยอาวรณ์แต่อย่างใด เห็นสิ่งเหล่านี้ว่ามีอยู่ขึ้นก็แตกดับไปตามกาลตามสมัย ใจไม่ได้ยึดมั่นกับแก้ว แต่ตอนที่แก้วยังมีอยู่ก็ใช้งานอย่างระมัดระวัง ไม่ได้ใช้แบบทิ้งๆขว้างๆเพื่อหวังให้มันแตกไวๆ ไม่ใช่อย่างนั้น

เมื่อมีจีวรอยู่ก็ใช้อย่างระมัดระวัง หมั่นซัก รักษาความสะอาด ไม่ได้ใช้อย่างทิ้งๆขว้างๆ ต่อเมื่อมันผุพังขาดจนไม่สามารถใช้งานได้แล้ว ก็นำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นแทน ไม่ได้เสียดาย อาลัยอาวรณ์ รำพึงรำพัน ต่างๆนานาแต่อย่างใด สำหรับผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว เป็นผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว ย่อมกินเหมือนคนอื่นๆ นั่งเหมือนคนอื่นๆ นอนก็เหมือนกันกับคนอื่นๆ เดินก็เหมือนกันกับคนอื่นๆ หาใช่เดินทีละสองก้าว หรือเดินไปกระโดดไปก็หาไม่ หากแต่แตกต่างตรงที่ผู้บรรลุธรรมแล้วนั้นจะทรงสติ ทรงสมาธิในการทำการงานใดๆตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้ว่างเว้น เพ้อเจ้อ ไร้สาระเลย


เมื่อฟังแบบนี้แล้ว บางคนก็จะบอกว่า “สู่สูงสุดยอดคืนสู่สามัญ” อันนี้ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว คงจะเป็นพวกอ่านนิยายกำลังภายในมากเกินไป เพราะสำหรับผู้ที่บรรลุธรรมแล้วจะไม่หวนคืนกลับไปสู่ความเป็นปุถุชนได้อีกเลย ไม่ว่าจะเสื่อมจากฌาน หรือเจ็บป่วยทางกาย ทุกข์ทรมานเพียงใด ความรู้ความเห็นที่ได้บรรลุแล้วจะไม่หวนคืนกลับได้อีกเลย เพียงแต่การใช้ชีวิตประจำวันนั้น ก็ยังทำเหมือนคนอื่นๆทั่วไป ส่วนที่แตกต่างกันนั้น อยู่ภายในคือความที่เป็นผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่น และเป็นผู้มีสติ มีสมาธิ เป็นปกติ เป็นผู้รู้กาลใดควรไม่ควร รู้จักพิจารณาใคร่ครวญรอบคอบ เป็นผู้ไม่ละเมิดในศีลอีกต่อไป ไม่ใช่ว่าจะนิ่งเป็นใบ้ พูดอะไรไม่ได้ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่ต้องเดินเนิบๆ เดินช้าๆ พูดน้อยๆ กินน้อยๆ ก็หาไม่ ปกติเป็นอย่างไร ก็เป็นปกติอยู่อย่างนั้น ต่างเพียงคุณธรรมในใจ ที่ไร้สิ่งยึดเกาะอีกต่อไปเท่านั้นเอง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิปัสสนานั่งหลับตา ตอนที่ 1

มหาสติปัฏฐาน๔ฉบับหลงธรรมตอนที่๒

พระนิพพาน ๑