รู้ว่าคิด...คิดว่ารู้
รู้ว่าคิด....คิดว่ารู้
สำหรับนักปฏิบัติธรรมนั้น
การรู้เท่าทันความคิด เป็นเรื่องที่ดี แต่ก็มีอีกจำนวนมากด้วยกัน ที่คิดว่ารู้แล้ว
ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดจากโมหะอย่างหยาบของตนเอง
มักเกิดขึ้นกับนักปฏิบัติที่มีความเพียรไม่มากพอ มีความอดทนน้อยไป แต่มีความคิดมากและหลงเชื่อว่าตนเองรู้ดีแล้วจากการปฏิบัตินั้นๆ
จากนั้นก็หลงวนเวียนอยู่กับความคิดความเชื่อของตนเองในหัวข้อธรรมนั้นๆ
หรือในการคิดวิเคราะห์ของตนเอง จนไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นใดๆ
หรือจะรับฟังก็ต่อเมื่อความเห็นนั้นๆเข้าได้ด้วยกันกับฑิฐิของตนเองเท่านั้น
เรื่องแบบนี้ข้าพเจ้ามองเห็นเป็นปัญหาเบื้องต้นของนักปฏิบัติธรรมซึ่งจริงๆแล้วก็แก้ได้ไม่ยาก
เพียงแต่ความหลงมัวเมาในสิ่งที่ตนรู้สิ่งที่ตนคิดขึ้นมานั้น
หอมหวนชวนสนุกสนานตื่นเต้นระรานใจยิ่งนัก ก็เลยไม่อยากจะออกจากวังวนนั้น
ผมเข้าใจดีว่าทำไมครูบาอาจารย์ถึงไม่เสียเวลามาสอนคนพวกนี้
เพราะกับคนอวดเก่งอวดดี ทั้งๆที่ไม่มีดีและไม่เอาไหนเลย
สู้เอาเวลาไปภาวนาของท่านเงียบๆดีกว่า เจอคนจำพวกนี้เข้าแล้ว ท่านก็จะอืมมมมม....
ดีดีดี เอาล่ะ...ดีแล้วนะ... ท่านก็ตอบเพื่อให้มันไปให้มันพ้นๆ เสียเวลาท่านเปล่าๆ
แต่ว่าถ้าครูบาอาจารย์ท่านเมตตาจริงๆ ท่านก็จะด่าอย่างรุนแรง
กระแทกจิตกระแทกใจให้ย่อยยับลงไป ทนได้ก็พ้นได้
ทนไม่ได้ก็หนีไปเลยไม่ต้องมาเจอหน้ากันอีก บางคนก็เปลี่ยนศาสนาไปเลยก็มี
คิดว่ารู้
อาการแบบนี้เกิดขึ้นได้กับนักปฏิบัติทุกคน
ขึ้นอยู่กับปัญญาและความเพียรของคนคนนั้นจะรู้สึกตัวได้ช้าหรือเร็ว
ก็จะสามารถแก้ไขจิตของตนเองได้ ครูบาอาจารย์ท่านจึงมักพูดเตือนเอาไว้เสมอๆว่า
“มันไม่แน่” และท่านก็เตือนเอาไว้ว่า
“อย่ามองหาความดีของตัวเองให้มองหาแต่ความชั่วแล้วเร่งกำจัดออกจากจิตใจ”
ตลอดเวลาที่ผมอยู่กับครูบาอาจารย์มานั้น ไม่เคยได้ยินครูบาอาจารย์ท่านพูดว่า
ท่านรู้แล้ว ท่านดีแล้ว ท่านว่าแน่นอนแล้ว ท่านได้บรรลุธรรมแล้ว
คำพูดเหล่านี้ไม่เคยได้ยินมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เมื่อครูบาอาจารย์ยังไม่เคยอวดเก่ง อวดดี
ทั้งๆที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ทรงคุณอันสูงสุด
เป็นเนื้อนาบุญอันยิ่งใหญ่กว่านาบุญอันดีทั้งหลาย เกินคำว่าเก่ง เกินคำว่าดี
ไปไกลมากแล้ว ท่านยังไม่เคยเอ่ยชมตนเองแม้แต่ครั้งเดียว ข้าพเจ้าปุถุชน
คือบุคคลผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส จะมีความเก่ง ความดี อะไรมาให้อวดได้บ้างครับ?
ท่านนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย
ที่ได้อ่านมาจนถึงตรงนี้แล้ว ก็ลองสำรวจตัวเองดูนะครับว่า
เวลาเราไปคุยเรื่องธรรมะกับใคร
เรามีอาการที่อยากจะแสดงออกหรือพูดออกไปว่าเราได้รู้ธรรมะเรื่องนั้นๆดีแล้ว
เราเข้าใจดีแล้ว เรื่องนั้นก็รู้ดีแล้ว ความคิดความเห็นของเรานี่แหละถูกต้องแล้ว
ถ้าท่านทั้งหลายมีความรู้สึก หรือมีความคิดแบบนี้ หรือพูดอะไรออกไปแบบนี้
ก็ขอให้ทราบได้ว่า ท่านยังไม่สมควรจะเรียกตัวเองว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม
ไอ้การฝึกสมาธิมาไม่กี่ปี ฝึกสติมาไม่กี่ปี ฝึกๆหยุดๆ ทำๆเว้นๆ
ก็บอกว่าเห็นแล้วจิตในจิต รู้แล้วว่านิพพานเป็นยังไง รู้แล้วสภาวธรรม
รู้แล้วว่าจิตเข้าถึงความว่าง ต่างๆเหล่านี้ ก็ขอให้ทราบว่านี่เป็นอาการหลงในธรรม
ขั้นต้นๆ หรือว่าขั้นหยาบๆ สอบตกแค่เท่านี้มันก็น่าเสียดายจริงๆ
เพราะหนทางข้างหน้ายังต้องเจออะไรอีกเยอะ ที่ละเอียดลงไปกว่านี้
ลึกซึ้งซับซ้อนยิ่งไปกว่านี้
แนวทางการแก้ไขต้องทำยังไง? ง่ายๆดังนี้ครับ
“หุบปากซะแล้วทำความเพียรให้ยิ่งๆขึ้นไป” หมายถึงว่า
ไม่ต้องไปเที่ยวพูดเรื่องธรรมะกับใครแล้วตั้งหน้าตั้งตาฝึกจิตฝึกใจของตนอย่างมุมานะเพียรพยายามด้วยความอดทนอดกลั้นต่อเนื่องยาวนานต่อไปเรื่อยๆ
นอกจากวิธีนี้แล้วข้าพเจ้าก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะแก้ยังไง
แล้วเมื่อไหร่จึงจะเปิดปากพูดได้?
ก็ต่อเมื่อหมดความอวดเก่ง อวดดื้อถือดีแล้ว ใครเขาจะพูดถูกก็ช่างเขา
ใครเขาจะพูดผิดก็ช่างเขา เราภาวนาของเราอยู่ภายในใจ
ซึ่งในที่สุดเมื่อฝึกไปจนถึงตรงนี้แล้วก็ไม่มีความคิดที่จะไปพูดคุยเรื่องธรรมะกับผู้ใด
เพราะเห็นว่าประโยชน์อันเกิดจากการพูดคุยนั้น มิสู้เอาเวลามาดูจิตดูใจของตน
พิจารณาธรรมอยู่ภายในจิตใจของตนให้แตกฉานลึกซึ้งกว้างขวางออกไป จะมีประโยชน์กว่า
เมื่อเจอกับผู้ที่รู้ว่าคิด ก็จะโมทนา เจอกับผู้ที่คิดว่ารู้ ก็จะโมทนา
เอาที่สบายใจเถอะนะ เราก็ฝึกของเราไป ถ้าการปฏิบัติธรรมแล้วบรรลุธรรมกันได้ง่ายๆแล้วล่ะก็
ข้าพเจ้าและพวกท่านทั้งหลายคงไม่ต้องมาเวียนตายเวียนเกิดอย่างนับชาติไม่ถ้วนแบบนี้หรอกครับ
ครูบาอาจารย์ท่านก็เพียรกันแทบเป็นแทบตาย ที่ตายไปก็มากจึงไม่ได้มาเล่าให้พวกเราฟัง
ที่เราได้ฟังก็เหลือรอดออกมาได้ เห็นแบบนี้แล้วยังจะคิดว่ารู้อยู่อีกหรือเปล่า
แทนจะเอาสมองมาคิดเรื่องธรรมะที่เป็นเรื่องของจิตใจ
สู้เอาสมองไปคิดเรื่องทำงานทำการหาเงินหาทองดีกว่า เพราะธรรมะเป็นเรื่องของจิต ฝึกลงตรงที่จิต
บรรลุก็ที่จิต ไม่ใช่เรื่องของสมอง ไม่ได้ฝึกสมองประลองปัญญา
และไม่ได้บรรลุธรรมที่สมองแต่อย่างใด...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น